เมื่อเอ่ยถึงขนมหวานจากแดนใต้ หลายคนอาจคุ้นเคยกับรสชาติเข้มข้นของขนมโค หรือความหอมหวานของลอดช่องน้ำกะทิ แต่มีขนมชนิดหนึ่งที่ซ่อนเร้นเรื่องราวและความหมายอันลึกซึ้งไว้ นั่นคือ “ขนมลา” ขนมพื้นบ้านอันเป็นเอกลักษณ์ของภาคใต้ โดยเฉพาะจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่มิได้เป็นเพียงของหวานรสเลิศ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์สำคัญในงานประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์อย่าง “บุญสารทเดือนสิบ”
ขนมลา ถือกำเนิดจากภูมิปัญญาของชาวใต้ที่นำ “แป้งข้าวเจ้า” วัตถุดิบหลักจากท้องถิ่น มาปรุงแต่งอย่างพิถีพิถัน เริ่มจากการนำแป้งมาละเลงบนกระทะร้อนเป็นแผ่นบาง ๆ สีขาวนวล เมื่อสุกได้ที่จะม้วนเป็นหลอดเล็ก ๆ คล้ายเส้นไหมที่เรียงร้อยอย่างสวยงาม ความละเอียดอ่อนในการทำขนมลาสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจและความประณีตของชาวใต้
สิ่งที่ทำให้ขนมลาโดดเด่นและแตกต่างจากขนมหวานชนิดอื่น คือบทบาทสำคัญใน “พิธีบุญสารทเดือนสิบ” ซึ่งเป็นงานบุญใหญ่ที่ลูกหลานชาวใต้ร่วมกันอุทิศส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ ขนมลาเป็นหนึ่งใน “ห้าสำรับ” หรือขนมสำคัญห้าชนิดที่ต้องจัดเตรียมเพื่อนำไปถวายพระสงฆ์ โดยมีความเชื่อว่าขนมลาเปรียบเสมือน “แพรพรรณ” หรือเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ลูกหลานตั้งใจมอบให้แก่บรรพบุรุษได้ใช้ในภพภูมิหน้า การปรุงและถวายขนมลาจึงมิใช่เพียงการทำทาน แต่เป็นการแสดงออกถึงความกตัญญู ความรัก และความผูกพันต่อผู้มีพระคุณ
รสชาติของขนมลานั้นเรียบง่ายแต่ลงตัว ด้วยความหวานละมุนจากน้ำตาลโตนดแท้ ๆ ผสานกับความกรอบบางของแผ่นแป้ง ทำให้เกิดสัมผัสที่น่าสนใจ เคี้ยวเพลินจนยากจะหยุดได้ มักนิยมรับประทานคู่กับน้ำชา กาแฟ หรือเป็นของว่างในช่วงเทศกาลบุญสารทเดือนสิบ
นอกเหนือจากรสชาติและบทบาทในงานบุญแล้ว ขนมลายังเป็นเครื่องสะท้อนถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวใต้ ที่ให้ความสำคัญกับครอบครัว เครือญาติ และการสืบสานประเพณีจากรุ่นสู่รุ่น การทำขนมลาในอดีตมักเป็นการรวมตัวกันของคนในครอบครัว ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ตั้งแต่การเตรียมแป้ง การละเลง ไปจนถึงการม้วน เป็นภาพที่อบอุ่นและแสดงให้เห็นถึงความสามัคคี
ปัจจุบัน ขนมลาอาจไม่ได้แพร่หลายเท่าขนมหวานสมัยใหม่ แต่เสน่ห์และความหมายอันเป็นเอกลักษณ์ยังคงตรึงใจผู้ที่ได้ลิ้มลองและรับรู้เรื่องราวของมัน หากมีโอกาสได้เยือนภาคใต้ในช่วงเทศกาลบุญสารทเดือนสิบ การได้สัมผัสและลิ้มรส “ขนมลา” ไม่เพียงแต่เป็นการเปิดประสบการณ์ทางอาหาร แต่ยังเป็นการซึมซับวัฒนธรรมและศรัทธาอันงดงามของชาวปักษ์ใต้ได้อย่างลึกซึ้ง
“ขนมลา” จึงมิใช่เพียงขนมหวาน แต่เป็นสายใยที่เชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เป็นสัญลักษณ์แห่งความกตัญญู และเป็นภูมิปัญญาอันทรงคุณค่าที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์และสืบสานต่อไป.