นครพนม – ค่ำวานนี้ (28 เมษายน 2568) เวลา 19.00 น. ณ บริเวณลานพนมนาคา จังหวัดนครพนม ได้มีการเปิดงาน “เทศกาลเรือไฟไทยสู่เรือไฟโลก 2568” อย่างยิ่งใหญ่ โดยมี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี อาทิ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีท่านอื่นๆ เข้าร่วมในพิธีสำคัญนี้

ไฮไลท์ของงานในช่วงต้นคือ พิธีสักการะพญาศรีสัตตนาคราช สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวนครพนม โดยนายกรัฐมนตรีได้นำจุดเชิงตะเกียงบนเรือไฟโบราณ ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความเคารพและความเป็นสิริมงคล
ประเพณีไหลเรือไฟเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานในจังหวัดนครพนม ชาวนครพนมมีความภาคภูมิใจในประเพณีนี้อย่างยิ่ง ด้วยความเชื่อที่สืบเนื่องมาจากบรรพบุรุษเกี่ยวกับการบูชารอยพระพุทธบาท การสักการะท้าวพกาพรหม การบวงสรวงพระธาตุจุฬามณี การระลึกถึงพระคุณของพระแม่คงคา การขอฝน การเผาความทุกข์ และการบูชาพระพุทธเจ้า

เรือไฟ หรือ “เฮือไฟ” มีลักษณะการสร้างจากวัสดุลอยน้ำ เช่น ท่อนกล้วยและไม้ไผ่ ประดับตกแต่งเป็นรูปทรงต่างๆ อย่างวิจิตรงดงาม เมื่อจุดไฟจะสว่างไสวตามโครงสร้างที่สร้างสรรค์ขึ้น ประเพณีไหลเรือไฟมักจัดขึ้นในช่วงเทศกาลออกพรรษา ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ หรือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑

ความเชื่อที่สำคัญอีกประการหนึ่งของการไหลเรือไฟคือ การบูชารอยพระพุทธบาท ณ ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที ประเทศอินเดีย ตามตำนานเล่าว่า พญานาคได้ทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าไปแสดงธรรมในพิภพนาค และเมื่อเสด็จกลับ พญานาคได้ขอให้ประทับรอยพระบาทไว้เป็นที่สักการะ ซึ่งรอยพระบาทนั้นเป็นที่เคารพสักการะของเทวดา มนุษย์ และสัตว์ทั้งหลาย ผู้ปรารถนาบุญกุศล
เรือไฟที่สร้างสรรค์ขึ้นมีหลากหลายรูปทรงตามจินตนาการและความสามารถของช่างฝีมือ เช่น รูปเรือสุพรรณหงส์ รูปสิงห์ รูปพญานาค รูปมังกร รูปพญาครุฑ รูปม้าเทียมราชรถ รูปแม่ย่านาง และรูปช้าง เป็นต้น ในอดีต การประดับตกแต่งเรือไฟจะเน้นดอกไม้ ธูป เทียน ตะเกียง และขี้ไต้ เพื่อให้เกิดแสงสว่าง แต่ในปัจจุบัน ได้มีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาประยุกต์ใช้ ทำให้เรือไฟมีความสวยงามตระการตามากยิ่งขึ้น


เมื่อเรือไฟที่ส่องสว่างไสวถูกปล่อยลงกลางลำน้ำโขง จะเป็นภาพที่งดงามและน่าประทับใจอย่างยิ่ง งาน “เทศกาลเรือไฟไทยสู่เรือไฟโลก 2568” ในครั้งนี้ คาดว่าจะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ และเป็นการส่งเสริมประเพณีอันเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดนครพนมให้เป็นที่รู้จักในระดับสากลมากยิ่งขึ้น