คิดจะพัก-Green Book คือผลงานที่นำแสดงโดยสองนักแสดงฝีมือคุณภาพ วิกโก้ มอร์เทนเซน ผู้เข้าชิงสองรางวัลออสการ์จาก Eastern Promises, Captain Fantastic ร่วมด้วย มาเฮอร์ชาลา อาลี เจ้าของรางวัลออสการ์จากMoonlight เล่าถึงเรื่องราวของ สองคู่หูต่างขั้วที่จับผลัดจับผลูตระเวนเดินทางไปทั่วตอนใต้ของอเมริกาด้วยกัน “โทนี่ ลิป” (วิกโก้ มอร์เทนเซน) พี่ล่ำขาใหญ่เชื้อสายอิตาเลียน-อเมริกันจากย่านบรองซ์ในนิวยอร์ก ต้องมาเป็นคนขับรถให้ “ดอน เชอร์ลี” (มาเฮอร์ชาลา อาลี) นักเปียโนคลาสสิคผิวสีระดับโลก ระหว่างที่เขาออกเดินสายขึ้นแสดงในยุค 60 สิ่งเดียวที่นำทางทั้งคู่คือ “สมุดปกเขียว” ที่บอกสถานที่ที่เป็นมิตรกับคนผิวสี พวกเขาต้องฝ่าทั้งกำแพงแห่งสีผิว ภัยอันตรายต่างๆ เช่นเดียวกับบทพิสูจน์น้ำใจจากเพื่อนมนุษย์ในการเดินทางครั้งสำคัญนี้ที่จะเปลี่ยนชีวิตพวกเขาไปตลอดกาล
ชื่อ Green Book คืออะไร พวกคุณอธิบายที่มาของมันให้เราฟังหน่อยได้ไหม?
อาลี: ชื่อ Green Book มาจากชื่อหนังสือThe Negro Motorist Green Book มันคู่มือการเดินทางที่ตีพิมพ์รายปีระหว่าง ปี 1936 ถึง 1966 มันรวบรวมข้อมูลร้านขายของและที่พักที่เปิดให้บริการกับคนดำ มันถูกเรียกสั้นๆ ว่า “สมุดปกเขียว” มันกลายมาเป็นเครื่องมือเอาตัวรอดของคนแอฟริกันอเมริกันที่เดินทางด้วยรถ ในตอนแรกมันครอบคลุมเฉพาะพื้นที่นิวยอร์ก ต่อมามันขยายพื้นที่ไปทั่วอเมริกาเหนือ ไปถึงเบอร์มิวด้านู้นเลย มันกลายมาเป็นของมีค่ามากที่ทางใต้ของอเมริกา เพราะเมื่อก่อนแถวนั้นปกครองด้วยกฏหมาย จิม โครว์
มอร์เทนเซน: มันมีขายที่ปั้มเอสโซ่ แล้วส่งให้คนที่เป็นสมาชิกถึงบ้านเลย แต่พอประธานาธิบดี แลงดอน บี. จอห์นสัน ลงนามในกฏหมายสิทธิพลเมืองในปี 1964 ทำให้กฏหมายของจิม โครว์ขัดกับหลักรัฐธรรมมนูญ สมุดปกเขียวเล่มนี้จึงไม่จำเป็นอีกต่อไป
พวกคุณก้าวเข้ามารับบทนี้่ได้อย่างไร?
มอร์เทนเซน: พีท (ปีเตอร์ ฟาร์เรลลี) ส่งบทมาให้ผมอ่าน เขาบอกผมว่าผมเป็นตัวเลือกเดียวของเขาสำหรับบทนี้ สองวันหลังจากที่เขาส่งมา ผมโทรหาพีท ผมบอกเขาว่า “ผมชอบตัวละครนี้นะ ผมยังชอบเรื่องราวของสองสุภาพบุรุษด้วย แต่ผมไม่แน่ใจว่าผมคือคนที่ใช่สำหรับบทนี้หรือเปล่า ผมไม่เคยเล่นอะไรแนวนี้มาก่อน แต่เขายืนกรานให้ผมเล่น ผมเลยตอบเขาว่า “งั้นให้ผมอ่านดูอีกรอบก่อนแล้วกัน ผมอ่านซ้ำอีกรอบแล้วรอบเล่า ผมไม่สามารถเอาเรื่องนี้ออกจากความคิดได้ ผมเลยโทรหาพีทอีกที เราคุยกันยาวเลย ลึกๆแล้วผมกลัวว่าจะถ่ายทอดตัวละครนี้ออกไม่มาไม่ตรงกับความตั้งใจของทีมงาน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผมจะไม่ลังเลพร้อมเดินหน้าต่อแต่ความกังวลเป็นส่วนหนึ่งของงานสร้างสรรค์อยู่แล้ว จากประสบการณ์ที่ผ่านมาหลายปี ผมคิดว่าความกังวลเป็นสัญญาณที่ดีนะ เพราะมันเหมือนกำลังบอกว่าบางทีผมควรจะเผชิญหน้ากับความท้าทายนี้ดู ผมเลยรับเล่น” แม้แต่วันเปิดกล้องผมยังกังวลเรื่องรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อยู่เลยแต่พอเราเริ่มทำงานกัน ผมเริ่มใช้ข้อมูลที่ผมเรียนรู้จากปูมหลังของโทนี่ ลิป ได้ทำความรู้จักกับมาเฮอร์ชาลาและพีทตอนทำงาน ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้น
อาลี: ผมก้าวเข้ามารับบทนี้เพราะชอบความท้าทายที่จะได้เล่นเป็นตัวละครที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร สิ่งที่ทำให้ผมทึ่งในตัวดอน เชอร์ลีที่สุดคือ ความซับซ้อนของเขา เขาต้องรับมือกับปัญหาหลายเรื่อง ในขณะเดียวกันเขาซ่อนความสามารถอันสุดยอดอยู่ข้างใน บทนี้มีอะไรให้ผมได้ลองเล่นเยอะมากๆ ผมเลยสนใจบทนี้
แล้วตัวละครของพวกคุณล่ะ ?
มอร์เทนเซน: โทนี่โตมาในย่านบรองซ์ เขาได้งานที่ไนท์คลับโคปาคาบาน่า เขาทำงานที่นี่ถึง 12 ปี ต้องจัดการกับพวกลูกค้าขี้เมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นดาราหรือเด็กแก๊ง ทั้ง แฟรงค์ ซินาตร้า โทนี่ เบนเน็ตต์ และบ็อบบี้ ดาริน แม้ว่าเขาจะเลิกเรียนหนังสือตั้งแต่ชั้นเกรดเจ็ด แต่เขาก็ฉลาดและมีไหวพริบ เขาได้ชื่อเล่นนี้มาเพราะเขาสามารถพูดจูงใจให้ใครก็ตามทำตามแบบที่เขาต้องการทุกอย่าง เรื่องนี้
เกิดขึ้นเพราะโทนี่ต้องการเงินมาจุนเจือครอบครัว พวกเขามีลูกสองคน สภาพการเงินไม่ค่อยดี แถมคลับที่โทนี่ทำงานปิดปรับปรุงอีก เขาต้องหางาน เขามีตัวเลือกอยู่บ้างแต่งานอื่นๆมันต้องไปเกี่ยวกับพวกนอกกฏหมายโทนี่ปฏิเสธงานอื่นแล้วไปเลือกขับรถให้ดร.เชอร์ลีแทนดร.ไม่เหมือนหนุ่มผิวดำคนไหนที่เหมือนกับพวกที่โทนี่เคยเจอมาในนิวยอร์ก เขาไม่เคยรู้จักคนแบบนี้ ตอนแรกโทนี่คิดว่าหมอนี่เป็นพวกหัวสูง เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ โทนี่อาจไม่ได้ฉลาดเท่าดร.เชอร์ลี แต่เขามีสัญชาตญาณเฉียบคม มีความเป็นนักเลง เขาบอกได้ว่าดร.เชอร์ลีมองตัวเขาต่ำกว่าตัวเองหลายๆ ด้าน และขณะที่ดร.คิดว่าโทนี่มีประโยชน์เพราะเขาเป็นทั้งบอร์ดี้การ์ดและคนขับรถ แต่โทนี่เป็นคนน่ารำคาญมาก โทนี่จ้อไม่หยุดในรถ สูบบุหรี่ กินไม่หยุด ชอบถามเรื่องส่วนตัว ปกติคนขับรถของดร.เชอร์ลีมักจะสุภาพ พูดเมื่อถูกถามเท่านั้น คุณจะเห็นมุมมองของทั้งคู่ตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง
อาลี: ดร.เชอร์ลีคืออัจฉริยะ เขาเป็นคนผิวดำที่ไม่เหมือนกับคนผิวดำคนอื่นๆ ในเวลานั้นเชอร์ลีเข้าเรียนที่สถาบันดนตรีเลนินกราดตั้งแต่อายุ 9 ขวบ แสดงคอนเสิร์ตครั้งแรกร่วมกับวงซิมโฟนีบอสตันตอนอายุ 18 ได้ปริญญาหลายใบ พูดได้หลายภาษา ในปี 1955 อัลบั้มแจ้งเกิดของเขาวางแผงกับค่ายCadence Records ใช้ชื่ออัลบั้มว่าTonal Expressions เขาถูกเจ้าของค่ายกีดกันไม่ให้ทำอาชีพสายดนตรีคลาสสิก โดยแนะนำให้เขาเดินสายดนตรีป๊อปจะรุ่งกว่า เพราะไม่คิดว่าผู้ฟังผิวขาวจะยอมรับนักดนตรีผิวดำเล่นเพลงคลาสสิกได้ เขานำความเป็นดนตรีคลาสสิกใส่ลงไปในสิ่งที่จัดว่าเป็น ‘ดนตรีคนผิวดำ’ ในเวลานั้น ซึ่งมันเจ๋งไปเลย แต่นั่นมันทำร้ายจิตใจเขาพอสมควรเช่นกัน
ฟังดูแล้วตัวละครของพวกคุณดูไม่น่าจะเข้ากันได้เลย
อาลี : แน่นอน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มไม่สวยในตอนแรก แต่เมื่อโทนี่และดร.เชอร์ลีได้ใช้เวลาร่วมกัน บทสนทนาและการโต้เถียงมันค่อยๆ เผยตัวตนของกันและกันออกมา ทั้งหมดเกิดขึ้นในรถระหว่างการเดินทาง ซึ่งจุดนี้เป็นสิ่งที่ทำให้หนังน่าสนใจ
มอร์เทนเซน: โดยทั่วไป โร้ดมูฟวี่เปิดโอกาสให้คุณใส่ตัวละครที่ปกติไม่ควรจะมาใช้เวลาอยู่ด้วยกันลงไป อาจจะมีเรื่องน่าสนใจเกิดขึ้น ยิ่งคุณใช้เวลากับใครซักคนนานขึ้นคุณอาจจะเข้ากันได้หรือกลายเป็นไม่ถูกกันกว่าเดิม การเรียนรู้กันและกันต้องใช้เวลา มันไม่มีทางลัด หนังโร้ดมูฟวี่ของเราเกิดขึ้นในรถคาลิแลคคูเป้ คูป เดอ วีลล์ ปี 1962 ขณะขับลงใต้
อาลี: ไม่ใช่ว่าทั้งคู่จะกลายมาเป็นเพื่อนซี้หรืออะไรแบบนั้นแต่พวกเขาเรียนรู้ที่ยอมรับในตัวกันและกัน” อาลีกล่าว “พวกเขาตระหนักได้ว่ากำลังเดินทางไปด้วยกัน อาจจะเป็นในฐานะเพื่อน หรือเพื่อนร่วมงาน มิตรภาพของทั้งสองที่ก่อตัวขึ้นมันงดงาม
พวกคุณเตรียมตัวเพื่อรับบทในเรื่องอย่างไร?
มอร์เทนเซน: หลายเดือนก่อนเปิดกล้อง ผมขึ้นเครื่องจากบ้านที่สเปนมานิวยอร์ก แล้วขับรถต่อไปยังทะเลสาปแฟรงคลินในนิวเจอร์ซีย์ เพื่อพบกับครอบครัววัลเลลองก้า นิค และ แฟรงค์ น้องชาย และ รูดี้ ผู้เป็นอา ที่ภัตราคารลิปซึ่งแฟรงค์เป็นผู้ดูแล พวกเขาดีต่อผมตั้งแต่แรกเลยผมคิดว่าอาจจะใช้เวลาที่นี่ซักชั่วโมงสองชั่วโมง แต่กลายเป็นว่าเรานั่งกินอาหารอิตาเลียนกันยาวเกือบครึ่งวัน เราคุยกันออกรสมาก ผมตระหนักได้ว่าโทนี่มีความคล้ายพ่อผมเองมากทีเดียว แม้ว่าบ้านวัลเลลองก้ากับมอร์เทนเซนจะมาจากคนละที่ มีประวัติต่างกัน แต่พวกเราเข้าใจกันและกัน เราต่างมีอารมณ์ขัน พ่อผมมาจากเดนมาร์กแต่มีมุมมองต่อด้านเชื้อชาติและการเมือง เขาเคยเป็นชนชั้นแรงงาน มีความหัวรั้นบ้าง แต่แน่นอนเขาเป็นคนน่ารัก มันเหมือนกับที่ครอบครัวนิคเล่าตัวตนของโทนี่ให้ผมฟังเลย มุกที่โทนี่เล่น นิสัยเขา ความขัดเแย้งในตัวเขา มันคล้ายกับพ่อผมมาก เราหัวเราะและโม้เรื่องพ่อของตัวเองให้กันและกันฟัง การที่พวกเรามีอะไรเหมือนกันคือจุดเริ่มต้นของผมเลย นอกจากนั้นผมไปที่ย่านบรองซ์ในนิวยอร์กที่โตที่ขึ้นมา ผมใช้เวลาคุยกับคนเก่าคนแก่ละแวกนั้น ว่าเมื่อก่อนมันเป็นยังไง ผมยังตะลุยดูซีรีย์ The Sopranos ซึ่งไม่เคยดูมาก่อนด้วย
อาลี: หนึ่งในความยากในการเตรียมตัวเพื่อรับบทดร.เชอร์ลีคือมันแทบไม่มีฟุตเทจของเขาเก็บไว้เลย ผมได้ข้อมูลจากการพูดคุยกับทีมงานดูสารคดีเกี่ยวกับคาร์เนกี้ ฮอลล์ ที่ซึ่งเชอร์ลีเป็นศิลปินประจำและพักอยู่ที่บ้านกึ่งสตูดิโอชั้นบนร่วมกับศิลปินคนอื่นอีก 60คนผมใช้ฟุตเทจของเขาในสารคดีเรื่องนี้มาปรับใช้ในการแสดงให้ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ แสดงให้คนดูได้เห็นถึงตัวตนของชายคนที่ผมได้ดูในฟุตเทจ“การที่ผมได้เห็นเขาขณะยังมีชีวิต เห็นวิธีที่เขาพูด หรือเคลื่อนไหว มันช่วยได้เยอะเลยทีเดียว มันเหมือนทำให้ผมได้รู้จักเขามากขึ้น แต่วิธีที่ทำให้ผมรู้จักตัวตนของเขาได้ดีที่สุดคือการฟังผลงานของเขา ผมรู้สึกถึงความยอดเยี่ยม ความเป็นคนรักความสมบูรณ์แบบผ่านบทเพลงของเขา ผมอยากรู้ว่ามันรู้สึกยังไงเวลานั่งเล่นเปียโนแล้วพยายามเล่นให้ได้เหมือนกับความสามารถของตัวละครนี้มากที่สุด ถึงแม้ผมรู้ว่าไม่มีทางเทียบเข้าได้ก็ตาม