รถไฟฟ้ามาแรง! ส.อ.ท. เผย BEV ไทยเดือนสิงหา ยอดขายทะยาน 9,000 คัน

ท่ามกลางความท้าทายของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่ยอดผลิตรวมลดลง รถยนต์ไฟฟ้า (BEV) กำลังกลายเป็นความหวังใหม่และเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดอย่างแท้จริง ข้อมูลจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ยืนยันถึงเทรนด์ที่ชัดเจนนี้ด้วยตัวเลขที่น่าตกใจ: ยอดขายรถ BEV ในเดือนสิงหาคมพุ่งทะลุ 9,000 คัน สร้างสถิติใหม่ที่สะท้อนถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยที่หันมาเปิดใจรับยานยนต์พลังงานสะอาดอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้รถยนต์ไฟฟ้าครองส่วนแบ่งเกือบ 20% ของยอดขายรถทั้งหมด และตอกย้ำว่าประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคของยานยนต์แห่งอนาคตอย่างเต็มตัว

สรุปภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเดือนสิงหาคม 2568

ยอดผลิตรถยนต์รวมในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 112,366 คัน ลดลง 6.11% เมื่อเทียบกับปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการผลิตเพื่อการส่งออกที่ลดลงถึง 10.67% เนื่องจากประเทศคู่ค้ามีข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและการปล่อยคาร์บอนที่เข้มงวดขึ้น อย่างไรก็ตาม ยอดผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศกลับเพิ่มขึ้น 4.11% โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ซึ่งพุ่งสูงถึง 7,512 คัน เพิ่มขึ้นกว่า 2,034% และเป็นตัวเลขสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ในด้านยอดขายในประเทศ ยอดขายรวมอยู่ที่ 47,622 คัน เพิ่มขึ้น 5.38% จากปีก่อน โดยตลาดรถยนต์ไฟฟ้าถือเป็นตัวชูโรงที่ขับเคลื่อนยอดขายให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด ยอดขายรถยนต์นั่งและรถตรวจการณ์พลังงานไฟฟ้าทุกประเภทยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง:

  • BEV ยอดขาย 9,246 คัน เพิ่มขึ้น 26.62%
  • PHEV ยอดขาย 465 คัน เพิ่มขึ้น 400%
  • REEV ยอดขาย 244 คัน เพิ่มขึ้น 100%
  • HEV ยอดขาย 11,231 คัน เพิ่มขึ้น 30.43%

ขณะเดียวกัน ตลาดรถกระบะยังคงเผชิญความท้าทายอย่างต่อเนื่อง โดยยอดขายลดลง 10.92% เนื่องจากสถาบันการเงินเข้มงวดการอนุมัติสินเชื่อ เพราะสภาพเศรษฐกิจและฐานะทางการเงินของผู้บริโภคที่อ่อนแอ


ข้อเสนอเพื่อกู้วิกฤตรถกระบะ

เพื่อแก้ไขปัญหารถกระบะที่ยอดขายตกต่ำมานานกว่าสองปี สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้เสนอให้รัฐบาลจัดตั้ง “กองทุนค้ำประกันผลขาดทุนจากการยึดรถกระบะ” มูลค่า 2,000 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขว่าสถาบันการเงินต้องเพิ่มการปล่อยสินเชื่อเพื่อให้ยอดขายรถกระบะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 30% จากปีก่อน

ข้อเสนอนี้ถูกมองว่าเป็น win-win situation ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม เพราะรัฐบาลจะสามารถจัดเก็บภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มที่เพิ่มขึ้นจากยอดขายรถที่มากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะสูงกว่าเงินที่ต้องจ่ายในกองทุนค้ำประกันถึง 2,400 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังจะช่วยกระตุ้นอุปสงค์ในห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด ตั้งแต่ผู้ผลิตชิ้นส่วนไปจนถึงพนักงานขาย ทำให้เกิดการลงทุนและจ้างงานเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมเติบโตและหนี้ครัวเรือนลดลงอย่างแท้จริง


สรุป: อนาคตยานยนต์ไทยอยู่บนทางสองแพร่ง

ข้อมูลเดือนสิงหาคมชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยกำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ ตลาดในประเทศกำลังถูกขับเคลื่อนด้วยกระแส “รถยนต์ไฟฟ้า” ที่เติบโตอย่างรวดเร็วและไม่อาจย้อนกลับได้ สะท้อนถึงความสนใจของผู้บริโภคที่ใส่ใจทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยี ในทางกลับกัน ตลาดส่งออกที่เคยเป็นรากฐานสำคัญกำลังเผชิญกับอุปสรรคจากมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้า ขณะที่ตลาดรถกระบะซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจในประเทศกำลังอยู่ในภาวะชะลอตัวอย่างหนัก

อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจึงต้องเผชิญกับสองความท้าทายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คือการเร่งปรับตัวสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อรองรับการเติบโตในประเทศ และการฟื้นฟูตลาดรถยนต์สันดาปภายใน โดยเฉพาะรถกระบะ เพื่อให้เศรษฐกิจโดยรวมกลับมาเติบโตอย่างยั่งยืน การที่ยอดขายรถไฟฟ้าทะลุสถิติใหม่จึงเป็นสัญญาณที่น่าจับตามองอย่างยิ่งว่า “อนาคต” ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยกำลังถูกขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างแท้จริง แต่การแก้ไขปัญหารถกระบะก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที อาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงเศรษฐกิจมหภาคในระยะยาวได้

ที่มา: สภาอุตสาหกรรม

คลุกคลีอยู่ในวงการสื่อกว่า 26 ปี