วันนี้ ( 3 ตุลาคม 2568 ) เวลา 08.30 น. ณ เพลนารีฮอลล์ ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษในเวทีสัมมนา Sustainability Expo 2025 A Call for Adaptation The Sustainability in Trade & Industry หัวข้อ “ยกระดับอุตสาหกรรม-การค้า-การลงทุนสู่ความยั่งยืน” โดยมี นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และผู้บริหารภาคเอกชน เข้าร่วมงานด้วย
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีที่ได้มาร่วมงานในวันนี้ ซึ่งปัจจุบันจะได้ยินคำว่า Sustainability หรือ “ความยั่งยืน” บ่อยครั้ง แต่ยังมีน้อยคนที่เข้าใจความหมาย โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมคณะผู้จัดงานที่เห็นความสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืน จนเกิดเป็นงาน Sustainability Expo 2025 ในครั้งนี้ขึ้นมา ที่จะทำให้เกิดทั้งความรู้ ความเข้าใจ และความร่วมแรงร่วมใจในการสร้างความเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะในด้านการค้า และอุตสาหกรรม อย่างเป็นรูปธรรม
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประเทศไทยกำลังยืนอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ โลกกำลังเผชิญความไม่แน่นอน ทั้งจากสงครามการแข่งขันทางเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ “คำถามคือ… เราจะพาประเทศไทยไปทางไหน”
โดยนายกรัฐมนตรีให้คำตอบว่า “เราต้องพัฒนาอย่างยั่งยืน” และเชื่ออย่างที่หลายคนเชื่อว่า “นี่ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอด” ความหมายของคำว่า “ยั่งยืน” ไม่ใช่แค่โลกสีเขียว หรือการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งก็มีความสำคัญ แต่ความยั่งยืนยังคือการทำให้ 3 เรื่องหลักนี้ คือ 1. เศรษฐกิจมั่นคง 2. สังคมมั่นคง และ 3. สิ่งแวดล้อมมั่นคง เดินไปด้วยกันอย่างมั่นคง นั่นคือ ต้องสร้างงานและรายได้ ทำให้คนไทยอยู่ดีมีสุข และรักษาโลกที่ลูกหลานจะอยู่ได้อย่างมีสุขภาวะที่ดีต่อไป แต่ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่คือ โลกวันนี้ไม่ได้ง่ายเหมือนเมื่อก่อน
โดยรัฐบาลได้เตรียมพร้อมด้านการดูแลสุขภาพภาวะของประชาชน ซึ่งต้องใช้เงินสำรองมหาศาลไว้ในการดูแลรักษาประชาชน ซึ่งเงินเหล่านี้นอกจากจะนำเอามาใช้ในการดูแลคุณภาพชีวิตและการพัฒนาประเทศแล้ว สิ่งที่รัฐบาลจะต้องมีคือการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่เหมาะสมกับสภาพสังคม สภาพประเทศ
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าต้องมองภาพรวมประเทศไทยในหลายมิติ โดยเฉพาะในบริบทของภูมิภาคอาเซียน ประเทศไทยถือเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางภูมิศาสตร์ และยังเชื่อมโยงพื้นที่ต่าง ๆ ผ่านเส้นทาง East-West Corridor ทำให้ไทยมีศักยภาพที่ในการเป็นศูนย์กลางด้านการค้าและการลงทุนของอาเซียน ประเทศไทยยังมีความได้เปรียบในด้านวัฒนธรรมและประเพณีที่หลากหลาย ไม่มีความขัดแย้งทางศาสนา ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันและทำงานร่วมกันได้ อีกทั้งการเมืองในประเทศแม้จะผ่านวิกฤติมาหลายครั้ง แต่ยังคงรักษาความมั่นคงและได้รับการสนับสนุนทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า “สิ่งสำคัญคือการปรับเปลี่ยน (adaptation) ให้สอดคล้องกับกติกาโลก ขณะเดียวกันต้องมองหาตลาดใหม่เพื่อขยายการแข่งขัน และตลาดเหล่านั้นต้องสามารถรองรับสินค้าและฐานการผลิตของเราได้”
รัฐบาลพร้อมสนับสนุน และพร้อมใช้ทุกวิถีทางในการสร้างโอกาสให้เกิดขึ้นกับประเทศไทย ทั้งเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรม และเพื่อปากท้องของประชาชนทุกคน โดยประเทศไทยให้ความรู้กับประชาชนถึงความสำคัญของสังคมสีเขียว และต้องมีการปรับปรุงและสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้ที่ใช้พลังงานสะอาดและกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ รัฐบาลจะได้วางรากฐานให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับความยั่งยืนเพิ่มขึ้น โดยมีแนวคิดโครงการ “Solar ชุมชน” หรือ “Solar มวลชน” ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนสามารถติดตั้งแผงโซล่าร์เซลล์บนหลังคาเพื่อใช้พลังงานแสงอาทิตย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญคือการนำพลังงานที่เหลือใช้เข้าในระบบ ขายและสร้างรายได้ให้กับชุมชน
“รัฐบาลชุดนี้พร้อมให้การสนับสนุนทุกภาคส่วนอย่างเต็มที่ในทุกมิติเพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพของประเทศ และหวังว่าจะได้มีการแลกเปลี่ยนและเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างใกล้ชิด ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพระหว่างรัฐบาล ภาคธุรกิจ และประชาชน ที่จะนำไปสู่ประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศไทยของเรา” นายกรัฐมนตรี กล่าว