มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จัดงาน MFLF Sustainability Forum 2025 เวทีแห่งปีเพื่อหา “ทางออกไทยท่ามกลางวิกฤตโลก”

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จัดงาน MFLF Sustainability Forum 2025 เวทีแห่งปีเพื่อหา “ทางออกไทยท่ามกลางวิกฤตโลก” โดยระดมความคิดและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้จากภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2568 งานนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่สำคัญในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาวิกฤตสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ผ่านความร่วมมือของทุกภาคส่วน โดยมี ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ ประธานกรรมการมูลนิธิฯ เป็นประธานในพิธีเปิด

วิกฤตโลกกดดันเศรษฐกิจไทย: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ชี้ว่าโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งความขัดแย้งทางการเมือง การค้า และวิกฤตสิ่งแวดล้อม เช่น การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและไฟป่าทั่วโลก ซึ่งกดดันเศรษฐกิจฐานรากของไทย แม้ป่าไม้ในประเทศจะลดลงช้ากว่าหลายภูมิภาค แต่หากไม่มีมาตรการเชิงรุกก็อาจปรับตัวไม่ทัน

ดร.พิรุณย้ำว่าการแก้ปัญหาต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และยกตัวอย่างมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ว่าเป็นกรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จในการอนุรักษ์ควบคู่ไปกับการใช้ประโยชน์อย่างเป็นธรรม นอกจากนี้ยังกล่าวถึงมาตรการทางการค้าของสหภาพยุโรปอย่าง CBAM และ EUDR ที่จะส่งผลกระทบต่อสินค้าส่งออกของไทย พร้อมเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืนและเชื่อมโยงตลาดคาร์บอนกับภาคบังคับ ให้ไทยสามารถบรรลุเป้าหมาย Net Zero ปี 2050 ได้อย่างมั่นคง


ชุมชนคือหัวใจของการขับเคลื่อนความยั่งยืน

หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ กล่าวถึงบทบาทสำคัญของชุมชนในการขับเคลื่อนความยั่งยืน โดยระบุว่าการส่งมอบคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชนที่เกินเป้าหมายถึง 4 เท่า สะท้อนให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นได้จริงจากการทำงานหนักและความร่วมมือของชุมชน ท่านยังเน้นย้ำว่าการอนุรักษ์จะยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อทุกคนได้รับประโยชน์ร่วมกัน

ท่านยังกล่าวอีกว่า การทำงานแบบเดิม (BAU) ไม่เพียงพออีกต่อไป แต่ต้องลงลึกและมองให้ครอบคลุมถึง Well-being หรือความผาสุกโดยรวม และต้องไม่มองแค่ในมิติของสิ่งแวดล้อมเท่านั้น พร้อมเชิญชวนให้คว้าโอกาสจากปัญหา เช่น การลงทุนใน Nature Credits และต้องมีหลักฐานเชิงประจักษ์ยืนยันความสำเร็จดังเช่นโครงการคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชน โดยมองว่าความยั่งยืนต้องเป็นการวางแผนระยะยาวที่ส่งผลไปถึงคนรุ่นต่อไป ไม่ใช่เพียงแค่ 10-15 ปี เพราะเศรษฐกิจและความยั่งยืนเป็นเรื่องเดียวกัน และจะต้องมีกฎเกณฑ์ใหม่ๆ ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริง โดยเฉพาะในภาคการเกษตร ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยสร้างและกระจายรายได้ในวงกว้าง หากมีการเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การเสวนาหลัก: เส้นทางสู่ความยั่งยืน

การเสวนาแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ซึ่งสะท้อนมุมมองที่หลากหลายในการรับมือกับวิกฤต

ช่วงที่ 1: วิกฤตโลก ทางออกไทย

ผู้ร่วมเสวนาจากภาคธุรกิจและองค์กรวิชาการ ได้แก่ คุณปิยะชาติ อิศรภักดี, ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ และ ดร.สุภัชญา เตชะชูเชิด ได้ชี้ให้เห็นว่า แม้โลกจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่ความยั่งยืนและการเติบโตทางเศรษฐกิจสามารถเดินไปด้วยกันได้ หากมีการ “รีบาลานซ์” ระหว่างผลกำไรกับผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยต้องมองโอกาสจากการลงทุนสีเขียวเพื่อสร้าง S-curve ใหม่ และใช้กลไก Public Private Partnership (PPP) รวมถึงการกระจายอำนาจสู่ชุมชน ซึ่งจะเป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยให้ไทยก้าวข้ามวิกฤตโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ช่วงที่ 2: กุญแจสู่การอยู่รอดของคนและธรรมชาติ

ผู้ร่วมเสวนาจากภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรระหว่างประเทศ ได้แก่ คุณณกรณ์ ตรรกวิรพัท (อบก.), คุณทวิโรจน์ ทรงกำพล (การบินไทย), คุณนิรันดร์ นิรันดร์นุต (UNDP BIOFIN) และ คุณสมิทธิ หาเรือนพืชน์ (มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ) ได้ย้ำถึงบทบาทสำคัญของภาคป่าไม้ต่อเป้าหมาย Net Zero ของประเทศ และความจำเป็นของคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูง โดยยกตัวอย่างโครงการป่าชุมชนที่เป็นรูปธรรมของความสำเร็จที่สอดคล้องกับ SDGs และเป้าหมาย Net Zero นอกจากนี้ยังกล่าวถึงนวัตกรรมทางการเงิน เช่น blended finance ที่จะช่วยสร้างผลลัพธ์หลายด้าน ทั้งการลดก๊าซเรือนกระจกและยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน

ช่วงที่ 3: เสวนาพิเศษ

ตัวแทนจากชุมชน ได้แก่ คุณวิชัย เป็งเรือน และ คุณทอน ใจดี ได้ถ่ายทอดประสบการณ์จริงในการดูแลป่าอย่างเป็นระบบ ซึ่งช่วยให้คนกับธรรมชาติเกื้อกูลกันในทุกมิติ ทั้งการดูแลแหล่งน้ำ ลดไฟป่า และสร้างอาชีพเสริม เช่น การทำจานใบไม้และการท่องเที่ยวชุมชน ส่วน คุณไพบูล ตันกูล (PwC) ตัวแทนภาคเอกชน ได้มองว่าโครงการนี้ตอบโจทย์ทั้งเป้าหมายของประเทศและการลงทุนด้านความยั่งยืน จึงเข้ามาสนับสนุนและให้คำปรึกษาเพื่อเสริมสร้างคาร์บอนเครดิตที่มีคุณภาพสูงที่สะท้อนประโยชน์อย่างแท้จริง

การส่งมอบคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชน

อีกหนึ่งวาระสำคัญภายในงานคือพิธีส่งมอบ คาร์บอนเครดิต จำนวน 43,123 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO₂e) ซึ่งถือเป็นปริมาณสูงสุดเท่าที่เคยมีการส่งมอบในไทยจากโครงการ “คุณดูแลป่า เราดูแลคุณ” โดยส่งมอบให้แก่ 7 องค์กรเอกชนที่ร่วมสนับสนุนโครงการที่ครอบคลุมพื้นที่ 12 โครงการใน 4 จังหวัดภาคเหนือ ความสำเร็จนี้เกิดจากความร่วมมือของทุกฝ่าย ภายใต้รากฐาน “ปลูกป่า ปลูกคน” ที่มูลนิธิฯ ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง

การจัดงาน MFLF Sustainability Forum 2025 ในครั้งนี้ จึงไม่เพียงแต่เป็นเวทีระดมความคิด แต่ยังสะท้อนถึงพันธกิจของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ในการเป็นผู้นำขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจที่แข่งขันได้บนฐานความยั่งยืน และทำให้ “ความยั่งยืน” กลายเป็นพลังขับเคลื่อนที่แท้จริงในระดับประเทศต่อไป