ทริปเที่ยวฤดูหนาวปีนี้ เรามีเวลาปักหมุดเพียงแค่ 2 เดือนเท่านั้น จึงต้องเลือกเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยวที่อยากไปมากที่สุด แต่ละสถานที่จะต้องอยู่ไม่ไกลกัน เพื่อให้มีเวลาค้นหา และซึมซับความสุนทรีท่ามกลางความหนาวในช่วงท้ายปี ที่โอซาก้า เกียวโต โกเบ ก่อนที่จะไปฟินต้อนรับวันปีใหม่ในเกาหลีอีกสักครั้ง หลังจากที่เคยไปกับทัวร์เมื่อหลายปีก่อน ตลอดการเดินทาง 10 วัน 9 คืน เราได้พบเจอสิ่งใหม่ๆ ให้ความทรงจำที่ดี มีผิดหวังบ้าง(ก็ปล่อยไป) ซึ่งเราจะขอเล่าประสบการณ์ต่างๆ ในคราวหน้า (อย่างละเอียด) และจะนำลิงก์มาเชื่อมไว้ในเรื่องเล่านี้ทุกครั้ง …โปรดติดตาม
แผนการเดินทาง Bangkok – Osaka – Korea (24 Dec 2018 – 2 Jan 2019)
- ก่อนการเดินทางทุกครั้ง เราจะทำกำหนดการเป็นเหมือนสมุดเล่มเล็ก(ครึ่ง A4) คล้ายๆ ที่บริษัททัวร์ทำแจกเลยค่ะ (สวยไม่แพ้กัน)
- หน้าแรก จะลงรายละเอียด วันที่ และสถานที่ เป็นภาษาอังกฤษ เพื่อว่า ตม. ขอดู จะได้อ่านออก !!
- ส่วนหน้าต่อๆ ไปจนจบเล่ม เราจะลงรายละเอียดวัน เวลา สถานที่ วิธีการเดินทาง รถไฟ รถบัส ขึ้นลง สถานีไหน รวมถึงข้อมูลอื่นๆ ที่จำเป็น อาทิเช่น วิธีการกรอกใบ ตม. ใบกรอกศุลกากร บัตรหรือพาสที่ต้องใช้ (สำหรับเรา)
ทริป 10 วัน 9 คืน เราไปที่ใดกันบ้าง ?
Bangkok – Osaka – Korea (24 Dec 2018 – 2 Jan 2019)
Mon 24 Dec 2018… BKK- Osaka –> Nest Hotel Osaka Shinsaibashi, Osaka Castle, Dotonbori Glico sign, Namba
Tue 25 Dec 2018… Osaka –> USJ
Wed 26 Dec 2018… Osaka – Kobe –> Kobe China Town , Kobe Harborland, Kobe Port Tower, Umeda
Thu 27 Dec 2018… Osaka – Kyoto –> Hotel Hokke Club Kyoto, Ginkakuji Temple, Kyoto Station, Yodobashi Camera Multimedia Kyoto
Fri 28 Dec 2018… Kyoto –> Bamboo Groves, Togetsukyo Bridge, Fushimi Inari Taisha, Gion
Sat 29 Dec 2018… Kyoto – Osaka –> Hearton Hotel Shinsaibashi , America Village, Shinsaibashi Shopping Arcade, Dotonbori Glico sign , Namba
Sun 30 Dec 2018… Osaka – Seoul –> ICN – Seoul –> Hotel Cozy Myeongdong, Myeongdong
Mon 31 Dec 2018… Seoul–> Gyeongbokgung Palace , Bukchon Hanok Village, Ewha Womans University, Cheonggyecheon-ro
Tue 1 Dec 2018… Seoul–> Hongdae (Hongik University Street), SMTOWN@coexartium, LED Rose Garden @Dongdaemun History & Culture, Myeongdong
Wed 2 Dec 2018… Namdaemun Market, Myeongdong –> ICN – BKK
นอกจากกำหนดการนี้ เราเคยมีแผนการที่วางไว้ก่อนไป โดยสถานที่ในแต่ละวันมากกว่าแผนการเดินทางนี้ ซึ่งเราเชื่อว่า จะเป็นประโยชน์สำหรับการเดินทางในฤดูกาลอื่นๆ (สามารถปรับได้อีก) หากสนใจลองคลิ๊ก อ่านได้ที่นี่
ตามที่ได้เกริ่นไว้ว่า เวลาสำหรับการปักหมุดมีเพียง 2 เดือนก่อนการเดินทาง ยิ่งในช่วงไฮซีซั่นด้วยแล้ว ขอบอกเลยว่า แพงเกือบทุกอย่าง โดยเฉพาะตั๋วเครื่องบิน ส่วนที่พักก็ไม่น้อยหน้า จะมัวหาของดีราคาถูกไม่มีแล้ว เพราะฉะนั้น ตั๋วการบินไทย ANA เลิกฝัน เลิกรอให้เสียเวลา หาโลว์คอสต์ดีกว่า
ที่พัก : เราจองผ่านอโกด้า 3 แห่ง และ ผ่านเอ็กพีเดีย 1 แห่ง (จองพร้อมแพ็กเกจสายการบิน)
ตั๋วเครื่องบิน : แอร์เอเชีย (ดอนเมือง-โอซาก้า, อินชอน-ดอนเมือง), จินแอร์ (โอซาก้า-อินชอน)
- วิธีการจองตั๋วเครื่องบิน เราจองโดยตรงกับสายการบิน และผ่านเอ็กพีเดีย ส่วนที่พัก จองผ่านอโกด้า และเอ็กพีเดีย
- เอกสารต่างๆ ที่สายการบิน และเอเจนซี่ ส่งให้ทางเมล์ เราปริ้น และเซฟไว้ในมือถืออีก 1 ช่องทาง แต่ที่ใช้ยื่นจริง เป็นฉบับปริ้น
วันแรก : เริ่มต้นการเดินทาง DMK-Osaka
- ก่อนการเดินทางไปสนามบิน เราเช็คอินไปจากที่บ้าน แต่คิวก็ยาวไม่น้อย (ล่วงหน้า 3 ชั่วโมง)…
วันจันทร์ 24 ธันวาคม 2561 ออกเดินทางจาก Bangkok (DMK) ในเวลา 01:15 น. ถึง Osaka (KIX) วันจันทร์ 24 ธันวาคม 2561 เวลา 08:40 เที่ยวบิน Thai Airasia X 612 (5 ชั่วโมง 25 นาที) สัมภาระ โหลด 20 กก. ถือขึ้นเครื่อง 7 กก./เลือกอาหารและที่นั่งแล้ว (เสียเพิ่ม) … เราไป 5 คน ชั่งนำหนักรวมกันได้ ชั่งแล้วได้แค่ 64 กก. เราไม่เน้นกระเป๋าใหญ่ ไม่พกพาสิ่งของ เสื้อผ้าไปมากมาย หาได้ง่าย ราคาเยาที่ญี่ปุ่น …ถูกจริงๆ นะ - เราจองตั๋วรถไฟด่วน Nankai Limited Express Rap:t ไว้แล้วจาก KLOOK ในราคา 2,120 เยน (Regular Seat) ซึ่งหลังจากชำระเงิน (ด้วยบัตรเครดิต) เรียบร้อยแล้ว ทางเว็ป จะส่งเมล์แจ้งรายละเอียด คำอธิบายแพ็กเกจ วิธีการใช้ และจุดแลกรับตั๋วที่ญี่ปุ่น (อย่างละเอียดจริงๆ ค่ะ)
- เมื่อถึงสนามบิน รับกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เดินผ่านศุลกากรออกมา จะมองเห็นเคาน์เตอร์แลกบัตรโดยสารรถไฟด่วน(บัตรที่จะต้องไปแลกตั๋วรถไฟอีกครั้ง) ไปรอคิว ไม่นาน ยืนเอกสารใบตอบรับที่ปริ้นไป ให้เจ้าหน้าที่ ก็จะได้บัตรโดยสารไปแลกตั๋วรถไฟด่วนที่ด้านหน้าสถานีรถไฟอีกครั้ง (ขึ้นบันไดเลื่อน) เดินตามป้าย (ไม่หลง) เจ้าหน้าที่ให้ตั๋วขาไป(ลงสถานีนัมบะ) ส่วนขากลับแลกที่สถานีรถไฟนัมบะ
- เราได้ตั๋วรถไฟเที่ยวเวลาประมาณ 10 โมงครึ่ง เมื่อถึงสถานีนัมบะ ก็นั่งรถไฟใต้ดินไปฝากกระเป๋าที่โรงแรม Nest Hotel Osaka Shinsaibashi
- หลังจากเสร็จภารกิจที่ทุลักทุเลกับสัมภาระของเราทั้ง 5 เวลาก็ล่วงเลยมาครึ่งวันแล้วค่ะ …มื้อเที่ยงของเราฝากไว้ที่ร้านอาหารญี่ปุ่น Machikadoya Nagahori อยู่ใกล้โรงแรม ระยะทาง 150 เมตร เป็นอาหารชุด ราคาไม่แพง (อร่อยถูกปาก) ก่อนจะนั่งรถไฟใต้ดิน(ลงที่ Tanimachi 4-chome Station) ไปเยือน ปราสาทโอซาก้า หนึ่งแลนด์มาร์กของเมืองโอซาก้าที่ใครๆ บอกว่าห้ามพลาด !
- แดดร่ม ลมตก พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า ในเวลาประมาณ 16.00 น. เราต้องกลับมาเก็บกระเป๋าเข้าห้องพักกันก่อนค่ะ เพื่อว่าจะได้ไม่กังวลในการท่องราตรีกับอีกหนึ่งแลนด์มาร์กสำคัญที่ต้องไปเช็คอิน นั่นก็คือ ป้ายกูลิโกะ (นักวิ่งกูลิโกะ) ย่านโดทงโบริ Dotonbori Glico sign
- เดินชม เดินช้อปได้เรื่อยๆ ในย่านชินไซบาชิ โดทงโบริ นัมบะ ท่ามกลางความหนาว และฝูงชนมากมายที่น่าจะมีจุดมุ่งหมายคล้ายๆ กัน …แน่นจริงๆ
- ขอลอง ราเม็งข้อสอบร้าน ICHIRAN ร้านดังของย่านโดทงโบริ แต่กว่าจะได้ลิ้มชิมรส ต้องทำข้อสอบก่อนค่ะ ต่อคิวไว้ เดินตามกันไป ทำข้อสอบด้วยนะ (เลือกให้ดี) เพิ่มระดับความเผ็ดเป็น ระดับ 5 ถึงจะสะใจ (แอบบอกข้อสอบ) … ลอกได้ค่ะ
บอกได้อย่างไม่อายว่า… วันแรกในโอซาก้า งง หลงทิศ (จริงๆ) ใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะไปในสถานที่อื่นตามแผน แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรค ไม่ได้กังวล เพราะนอกจาก Google Maps ที่เป็นไกด์อย่างดีช่วยให้ง่ายในการใช้เส้นทางทั้งรถ (บอกสายรถไฟ ) หรือแม้แต่เดิน ขอแค่จับทิศให้ถูก รับรองว่าไม่หลง ส่วนป้ายบอกเส้นทางของรถไฟสายต่างๆ ที่อยู่ภายในสถานี ก็ช่วยได้มากมาย …หยุดอ่านสักนิด
วันที่สอง : ทั้งวันยกให้ สวนสนุกยูนิเวอร์แซลสตูดิโอแจแปน (Universal Studios Japan)
- เราออกเดินทางในเวลาประมาณ 07.00 น. มื้อเช้า ฝากท้องไว้กับร้านอาหารเดิม ใกล้โรงแรม กับเมนูอาหารเช้าง่ายๆ ราคาไม่เกิน 1,000 เยน
- เนื่องจากไม่ได้ซื้อบัตรเอ็กเพส(ซื้ออภิสิทธิ์คิวรอ)เข้า USJ ซื้อเพียงบัตรผ่านประตู(ตั๋วธรรมดา) เนื่องจากไปช่วงฮอตฮิต ราคาแพงจากราคาตั๋วธรรมดาหลายเท่า ซึ่งไม่จำเป็น เพราะพวกเราไม่ได้จะต้องเล่นเครื่องเล่นอะไรมากมาย ขอเพียงแค่ได้เห็น ได้สัมผัส และมีส่วนร่วมเล็กๆ ก็พอแล้ว
- โซนแฮรี่ คือ จุดหมายแรก …หลังจากเดินทางถึง USJ เวลาประมาณ 8 โมงกว่า พวกเรา(เด็กโต) จึงต้องไปโซนที่อยากไปมากที่สุดก่อน เพื่อต่อคิวเข้าชมกิจกรรมที่อยากร่วมสนุก …ใช้เวลาอยู่ที่นี่นานที่สุด (ครึ่งวันเลยทีเดีย)
- ในความรู้สึกส่วนตัวแล้วเหมือนเข้าไปสู่โลกแห่งจินตนาการ (ขอเป็นเด็กสักวัน) เหมือนเข้าไปในเมืองมายา มีปราสาท มีพ่อมดเสกคาถา มีไม้กายสิทธิ์ มีร้านขายของที่ระลึก ขนาดจิ๋ว ขนาดยักษ์ แต่ราคาไม่เบา(แอบแพง)
- ช่วงบ่าย เดินชมในโซนอื่นที่มีอะไรมากมาย เดินได้ไม่มีเบื่อ เพลินจนลืมเวลา … 2 ทุ่มกว่าๆ เอง
- เหนื่อยมาทั้งวัน มื้อเย็นขอกลับมาฝากท้องไว้ที่ร้านอาหารใกล้โรงแรมเช่นเคย
- อิ่มแล้ว ต้องเดินย่อย …ขอแวะ ศูนย์การค้าใต้ดิน “Crysta Nagahori” ที่ทอดยาวกว่า 700 เมตร ซึ่งทางเข้า-ออก 1 2 และ 3 อยู่บริเวณด้านหน้าโรงแรมที่เราพักพอดี …ช้อปเพลินเลยค่ะ
วันนี้ดีกว่าเมื่อวาน ความงง และหลงน้อยลง คงเป็นเพราะหลงแสง สี ในเมืองมายาแห่งนี้ละมัง !
วันที่สาม : โกเบ เมืองเก่าที่คุ้นชิน
- โกเบ ชื่อนี้คุ้นหู แต่ไม่คุ้นตา ขอเวลาทำความรู้จักสัก 1 วัน สถานที่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโอซาก้า
- ออกจากโรงแรมในเวลาประมาณ 08.00 น. เวลานัดหมายที่ล็อบบี้ มื้อเช้าร้านเดิม (ใกล้โรงแรม) ก่อนนั่งรถไฟไปโกเบ
- จุดหมายแรกที่ต้องแวะคือ โกเบไชน่าทาวน์ (Nankinmachi) ลงรถไฟที่สถานี Motomachi Station (หลงขึ้นรถไฟหวานเย็นค่ะ จอดทุกสถานี) …งง ? ตลอด
- ก่อนที่จะเข้าสู่ไชน่าทาวน์ เดินผ่านย่านการค้าที่ชื่อว่า ถนนนานกิง แหล่งรวมร้านค้าที่มีหลังคาสูงทอดยาว (คล้ายๆ ย่านนัมบะ ชินไซบาชิ) …ช่วงเช้า คนยังไม่มาก เดินเข้าร้านนั้น ร้านนี้ (เฉพาะที่สนใจ) เสียเงินไปกับสิ่งของล่อตาล่อใจอีกละ …อดไม่ได้จริงๆ
- กว่าจะเข้าไปในไชน่าทาวน์ เวลาก็ล่วงเลยไปมาก จึงทำความรู้จักกับสถานที่แห่งนี้ไม่นาน(เดินอย่างรวดเร็ว) ก็ต้องนั่งรถไฟไปสถานที่ไฮไลท์ “Kobe Harbourland“ เพื่อให้ทันมื้อกลางวัน …ไปกินเนื้อโกเบขึ้นชื่อ เดินชมวิว ทิวทัศน์ริมท่าเรือโกเบ
- เวลาช่างเดินเร็วเสียจริง …หรือว่าเราเดินช้า
- บ่ายแล้วค่ะ เพิ่งจะได้เที่ยวแห่งเดียวเอง จุดหมายสำคัญยังไปไม่ถึงเลย นอกจากอากาศจะหนาวแล้ว รถไฟเที่ยวหวานเย็นทำให้เราช้าเข้าไปอีก เพราะฉนั้น เวลาที่เหลือ จะเที่ยวได้แค่ไหน ก็แค่นั้น หรือเพียงผ่านสายตา กับสัมผัสกลิ่นอายอยู่ห่างๆ ก็ยอม
- จากที่บอกไว้ว่า เรานั่งรถไฟธรรมดา (ไม่ได้นั่ง JR) ทำให้เสียเวลา (รถไฟจอดทุกสถานี) แต่ไม่หลงนะ เพียงแค่เดินไกลกว่าที่คิดไว้เท่านั้นเอง เดินตามกูเกิลไปค่ะ สุดท้ายก็ถึงห้าง umie เดินทะลุผ่านไปริมอ่าว ซึ่งมีร้านอาหาร ร้านขายสินค้านานาชนิด ร้านเล็ก ร้านใหญ่ เรียงรายให้เลือกเข้า แต่เราต้องผ่าน เลือกเท่าที่สนใจ(จริงๆ) …umie MOSAIC
- เนื้อโกเบที่ขึ้นชื่อ… อยู่ไหนนะ หาสิ
หลายคนหลายความคิด ต่างจิตใจ เลือกหาจนเมื่อยขา สุดท้ายก็ต้องลงเอยที่ร้านนี้ 8 EIGHTH BEEF ร้านสเต็ก (แถมฟรีบุฟเฟ่ต์สลัด) เลือกเพราะ เราไม่กินเนื้อ ทุกคนจึงลงความเห็นว่าเข้าร้านนี้แล้วกัน ไม่เพียงมีเนื้ออย่างเดียว สเต็กไก่ ก็น่าสนใจ อีกทั้งราคาโดยรวมไม่แพงมากนัก …อิ่ม อร่อย อีกมื้อ
- ก่อนกลับ ขอถ่ายรูปสัญญลักษณ์แห่งเมืองโกเบกันนิด ไม่เช่นนั้นจะถือว่า มาไม่ถึงโกเบ …Kobe Tower
- ขากลับนี่ใช้เวลาเดินทางน้อยกว่าขาไป นั่งรถไฟ JR ที่สถานีโกเบ เดินไม่ไกลจากริมอ่าว เดินผ่านห้าง UMIE (ทางเดิม) แต่ไม่ไกล เพราะไม่หลง…เดินลงไปตามทางเชื่อมใต้ดิน (ตามป้าย) ก็ถึงสถานีรถไฟโกเบ
- จุดหมายสุดท้ายของวัน ขอแวะ Umeda Sky Building แต่ก็ไม่ได้ขึ้นไปชมบนตึกแห่งนี้ ด้วยเพราะเวลาที่มืด บวกกับความไม่คุ้นชินสถานที่(สถานี)
- ออกจากสถานี Umeda ขึ้นสู่สกายวอล์ก มองเห็น Umeda Sky Building อยู่ไกลๆ ทุกคนลงความเห็นว่า อย่าไปเลย ถ่ายรูปเล่นเห็นรูปตึกอยู่เบื้องหลัง ก็ถือว่ามาถึงแล้ว …ขอผ่านค่ะ
วันนี้ไปไกลจากโอซาก้า แต่ความงง ยังคงมี ไม่ได้หลงทาง แต่ความไม่คุ้นชิน พาให้เสียเวลาในการเดินทาง ซึ่งก็ไม่ใช่อุปสรรค
วันที่สี่ : เยือนเกียวโต อดีตเมืองหลวงของญี่ปุ่น

- แน่นอนว่า ไปเที่ยวโอซาก้าแล้ว จะต้องไม่พลาดเยือนเกียวโต เมืองเก่าแก่ที่ยังมีเสน่ห์ และมนต์ขลัง ด้วยความงามของธรรมชาติ และสถานที่เก่าแก่อันมีประวัติความเป็นมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นวัดเงิน วัดทอง วัดน้ำใส หรือศาลเจ้า Fushimi Inari Taisha อีกทั้งย่านการค้าสำคัญ ก็คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ท้องถิ่น ชวนค้นหา
- หลังเช็คเอ้าท์จากโรงแรมในโอซาก้าแล้ว เราก็ออกเดินทางไปนั่งรถไฟที่สถานี Shin-Osaka เป็นรถไฟธรรมดาราคาไม่แพง เป็นรถหวานเย็นอีกแล้วค่ะ เพราะว่าเราขึ้นผิดขบวน (LOCAL) ที่จริงจะขึ้นรถไฟด่วนค่ะ เลยต้องใช้เวลาเดินทางเกือบชั่วโมง แต่ขากลับ ขึ้นไม่ผิดแล้วค่ะ ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงโอซาก้า … งง! แต่ไม่หลงทาง
- เราพักที่นี่ Hotel Hokke Club Kyoto โรงแรมอยู่ฝั่งตรงข้ามสถานีเกียวโตเลยค่ะ …คราวนี้ จองได้ดีมาก ราคาไม่แพงอีกต่างหาก
- ฝากกระเป๋าก่อนเที่ยวต่อ…
วันนี้เสียเวลากับการเดินทางไปครึ่งวันแล้ว หลังจากฝากกระเป๋าเสร็จก็ไปเดินหาร้านอาหารภายในศูนย์การค้าใต้ดินที่อยู่ภายในสถานีเกียวโต และมีความเห็นตรงกันว่า ราเม็ง ร้านนี้แหละ TONKOTU RAMEN ก่อนที่จะนั่งรถบัส(สาย 100) ไปวัดเงิน(อยู่ไกลสุด) และนั่งรถบัสสายเดิมกลับมาแวะวัดน้ำใส (ใส่ชุดกิโมโน) ปิดท้ายของวันนี้ที่ศูนย์การค้า Kyoto-Yodobashi อยู่ใกล้โรงแรม …แวะช้อปก่อนค่ะ เสียเงินจนได้สินะ (เสื้อผ้าลดราคาจากยูนิโคล่ ราคาถูกมากๆ)

บอกเลยว่า ไม่งง ไม่ใช่เรา รู้เวลารถมา แต่ทำไมรีบร้อน เห็นป้ายหน้ารถไฟ บอกไปเกียวโต … ขึ้นเลยค่ะ แต่เอ๊ะ ทำไมรถว่างจัง ตู้ที่เรานั่งมีนักท่องเที่ยวอยู่ 2 คน (กับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่คนละใบ) ดีจัง ได้นั่ง แต่ทำไมจอดทุกสถานี …เพิ่งถึงบอกอ้อ ก็ตรงที่ป้ายบอก LOCAL นี่เอง (ไม่เป็นไร บทเรียนที่ต้องจำ)
วันที่ห้า : เช้าป่าไผ่ บ่ายวัดเสาแดง อีกหนึ่งวันเต็ม ในเกียวโต

- เดิมทีเราจะแวะวัดเสาแดงในวันสุดท้าย ก่อนกลับโอซาก้า แต่จากการประเมินสถานการณ์การเดินทางที่ไม่คุ้นชิน เราจึงขอจบทริปเกียวโตภายในวันนี้ กับสถานที่อยากไป(ที่สุด)เท่านั้น
- 08.00 น. ออกจากที่พัก มื้อเช้าเป็นอาหารชุดญี่ปุ่น ที่ร้าน Nakau Shichijo Shinmachi อยู่ไม่ไกลจากโรงแรม …จะบอกว่า มื้อเช้า มื้อเย็น เราฝากท้องไว้ที่ร้านนี้ อร่อยดี ราคาเยา
- เดินกลับไปที่ด้านหน้าสถานีรถไฟ เพื่อซื้อบัตรรถบัส Kyoyo City Bus & Kyoto Bus One-Day Pass ในราคา 600 เยน ใช้นั่งรถบัสได้ตั้งแต่เช้าจนถึงทุ่มครึ่ง …ซื้อบัตรคุ้มกว่าจ่ายเป็นเที่ยว (เที่ยวละ 230 เยน)
- จุดจอดรถบัส ห้องจำหน่ายตั๋ว ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าสถานีรถไฟเกียวโต มีป้ายแสดงสถานที่ท่องเที่ยว (Tourist Destination) จุดจอด (Bus Stop) และสายรถบัส (System Number) …หาไม่ยาก
- หมุดแรกเริ่มต้นที่ป่าไผ่ (Arashiyama Bamboo Grove) และใกล้กันคือสะพานโทเง็ตสึเคียว สะพานที่ทอดยาวข้ามแม่น้ำโออิงาวะ (นั่งบัสจากสถานีเกียวโต สาย 28 ไป-กลับ) …หิมะตก !
- หลังจากสัมผัสกลิ่นอายของธรรมชาติกันพอสมควรแก่เวลา หมุดหมายข้างหน้าคือวัดเสาแดง หรือ Fushimi Inari Taisha ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (ขึ้นบัสสาย 105 จากสถานีเกียวโต) วัดนี้เราจะพลาดไม่ได้ ต้องไปขอพรสักครั้ง …เชื้อกันว่าศักดิ์สิทธิ์
- ปิดท้ายของวัน กับ 2 สถานที่ (นั่งรถบัสสาย 100) คือ Gion ย่านบันเทิงยามคํ่าคืนที่มีชื่อเสียงของเกียวโต และกลับมาเดินช้อปที่ศูนย์การค้า Kyoto-Yodobashi
วันนี้ซื้อบัตรรถบัส ด้วยเพราะประหยัดค่าเดินทาง แต่มาคิดๆ ดู บางสถานที่ไปรถไฟสะดวกกว่า เราน่าจะใช้บัตร SUICA อย่างเช่น วัดเสาแดง เดินก็ไม่ไกล สถานีรถไฟอยู่ใกล้กว่าสถานีรถบัส …คราวหน้ามาใหม่
วันที่หก : กลับโอซาก้า ตามหาของฝาก
- ก่อนออกเดินทางเข้าโอซาก้า มื้อเช้าสำคัญ อิ่ม อร่อย ที่ร้านเดิม…Nakau Shichijo Shinmachi
- เช็คเอาท์เวลาประมาณ 10.00 น. ไม่พลาดรถไฟด่วน JR ที่ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็ถึงสถานีโอซาก้าแล้วค่ะ และนั่งรถไฟใต้ดินอีก 1 ป้าย ไปย่าน Shinsaibashi เพื่อฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม Hearton Hotel Shinsaibashi (พัก 1 คืน) …ชอบโรงแรมนี้ค่ะ
- เดินเที่ยวในหมู่บ้านอเมริกา ที่อยู่ใกล้โรงแรม (ฝั่งเดียวกัน) เดินเล่นๆ ดูโน้น ดูนี่ (ได้ของติดไม้ติดมือนิดหน่อย) รอเวลาเช็คอิน (14.00 น.) เก็บกระเป๋าเข้าห้องพัก
- จากนั้นก็ไปเดินต่อย่านชินไซบาบิ โดทงโบริ นัมบะ หาซื้อของฝาก ก่อนจากโอซาก้า ไปลั่นลาที่เกาหลี
วันนี้เป็นวันฟรีเดย์ที่ไม่ได้ปักหมุดเที่ยวไกล เพียงแค่ขอกลับไปเก็บตกย่านช้อปขึ้นชื่ออีกครั้ง เพื่อวันพรุ่งจะได้เดินทางไปจุดหมายต่อไป…
วันที่เจ็ด : สถานีหน้า..อินชอน
- 7 โมงเช้า ออกเดินทางจากโรงแรม นั่งรถไฟใต้ดิน ไปลงสถานีนัมบะ (ไม่นาน) ใช้เวลาไม่นาน (ไม่ถึง 8 โมง) แต่ต้องล่าช้าไปนิด เนื่องจากเราไม่ได้แลกตั๋วรถไฟด่วนไว้ล่วงหน้า ด้วยหวังว่าจะแลกในสำนักงานที่อยู่ภายในสถานีนัมบะ …แต่เปิดบริการ 09.00 น.
- จะทำยังไงกันดีล่ะ ต้องซื้อตั๋วใหม่ไหมนะ ?
ไม่คะ …เราแลกตั๋วที่เคาน์เตอร์ด้านหน้า(ซ้ายมือ)ก่อนจะเข้าไปภายในชานชลาได้ค่ะ (นั่งรถไฟเที่ยว 08.00 น.) - เช็คอินสายการบินจินแอร์ คิวสั้น รอไม่นาน
เนื่องจากเราเช็คอินตั๋วไว้แล้วก่อนออกจากโรงแรม ดังนั้น ทุกขั้นตอนจึงไม่มีอุปสรรค แต่น้ำหนักสัมภาระ โหลดได้ 15 กก. ถือขึ้นเครื่องได้ 12 กก. (ชั่งไว้เรียบร้อยด้วยเครื่องชั่งพกพาที่เตรียมไป) - เครื่องบินออกจากโอซาก้า เวลา 11.55 น. ถึงสนามบินอินชอนเวลา 14.00 น.
- หลังจากผ่านตม. รับกระเป๋า เราก็เดินหาร้านสะดวกซื้อ (7-11) เพื่อซื้อบัตร T-Money บัตรเติมเงินที่ใช้โดยสารรถบัส รถไฟ ซึ่งเราต้องเติมให้มากกว่าค่ารถบัสที่จะเข้าไปเมียงดง (ค่ารถบัส 15,000 วอน) ราคาค่าบัตร 4,000 วอน เติมเงินไว้ 20,000 วอน
- จากนั้นก็มองหาป้าย 5B เพื่อไปยืนรอรถบัสสาย 6015 หาไม่ยาก เดินไม่ไกล มีป้ายบอกทางตลอด คิวรอไม่ยาว รอไม่นาน คนขับรถช่วยยกกระเป๋าให้ทั้งขึ้น และลง (เราลงที่ป้ายตลาดนัมแดมุน)
- มองหา Hotel Cozy Myeongdong (ใช้กูเกิล) ลากกระเป๋าไม่ไกล แต่ต้องยกกระเป๋าขึ้นบันได เพื่อไปขึ้นลิฟต์ที่ชั้น 2 (ลิฟต์ก็แคบ) เคาน์เตอร์เช็คอินอยู่ที่ชั้น 10 เราจองไว้ 3 ห้อง ได้อยู่คนละชั้นกันเลยค่ะ บรรยากาศในห้องไม่ชวนให้ประทับใจ …ผิดหวัง !
- ย่านที่เราพัก อยู่ใกล้เมียงดง เดินออกมาไม่ไกล ข้ามถนนไปก็เข้าสู่โหมดของการช้อปปิ้ง
- อิ่มอร่อยกับหมูย่างขึ้นชื่อที่ร้าน Hong Bar ลูกค้าส่วนใหญ่ มีทั้งชาวจีน ชาวญี่ปุ่น และชาวไทย
สิ่งที่ยังติดใจไม่หายคือโรงแรมที่พักในเกาหลี เราขอปรับลดจาก 3 ดาว ให้แค่ 2 ดาว (ปรับเองเลยค่ะ) และคงคิดหนักถ้าจะกลับไปพักที่นั่นอีกครั้ง
วันที่แปด : สาวไทย ในชุดเกาหลี ที่ Gyeongbokgung Palace
- วันสุดท้ายของปีที่เกาหลี พาสาวๆ ชมและเก็บภาพความทรงจำ ในชุดประจำชาติเกาหลีที่พระราชวังคย็องบกกุง
- จากนั้นก็เดินต่อไปที่หมู่บ้านดั้งเดิม Bukchon Hanok Village ซึ่งอยู่ไม่ไกล ก่อนนั่งรถไฟไปเยือนมหาวิทยาลัยที่สวยที่สุด… Ewha Woman’s University
- ปิดท้ายของวันกันที่คลองช็องกเยช็อน (รถไฟใต้ดินสาย 5 สีม่วง ลงสถานี Gwanghwamun ทางออกที่ 5) ไปดูไฟประดับ และชมกิจกรรมส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ สไตล์เกาหลี …แอบอิน !
วันนี้ไม่มีอะไรมากมาย สาวๆ พอใจกับชุดสวย และก็เดิน เดิน เดิน เป็นส่วนใหญ่ ด้วยเพราะสถานีรถไฟเดินไกลเหลือเกิน แถมขึ้นผิดสาย ลงผิดสถานี อีกต่างหาก สุดท้ายไม่ยาก เปิดกูเกิลหาทางกลับได้ด้วยรถบัส สะดวกสุด
วันที่เก้า : พาวัยใสไปตามหาโอปป้า
- หลังจากอิ่มท้องกับอาหารเช้าเบาๆ ที่ห้องอาหาร ชั้น 7 ของโรงแรม ก็ได้เวลาเยือนย่านสำคัญที่วัยใส(ขวัญใจโอปป้า)ขอมา นั่นคือ Hongdae (Hongik University Street) และ SMTOWN@coexartium ส่วนวัยผู้ใหญ่อย่างเรา ขอเข้าเมืองตาหลิว(ตามหาโอปป้า)กับเขาสักวัน…ไม่ว่ากันนะคะ
- ปิดท้ายไปดูดอกกุกลาบไฟ LED Rose Garden @Dongdaemun History & Culture และขอไปแวะ Myeongdong กินหมูย่างเกาหลี ร้าน Hong Bar อีกครั้ง …ยังติดใจ
วันนี้เป็นวันแรกของปี 2562 รู้สึกว่าอายุจะลดลงนะ(คิดไปเองอีกล่ะ) คงเป็นเพราะไปตามหาโอปป้าละมัง อีกทั้งได้แวะร้านตู้เกม (แอบย้อนวัยคีบตุ๊กตา) ในย่าน Hongdae แต่ที่ทำให้หัวใจพองโต ตื่นตา เห็นจะเป็นป้ายขนาดใหญ่ตามผนังภายในสถานีรถไฟ ที่เรียงรายไปด้วยภาพโปรยเตอร์ยักษ์ของเหล่าดารา(โอปป้า-ออนนี่) ไปจนสุดทางก่อนเข้าตึก SMTOWN
วันที่สิบ : สำรวจตลาดนัมแดมุน ช้อปที่เมียงดง ก่อนเช็คเอ้าท์
- หลังอาหารเช้า ไปเดินชมตลาดนัมแดมุนที่มากไปด้วยสินค้านานาชนิด ทั้งขายปลีก ขายส่ง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องครัว เสื้อผ้า ของที่ระลึก อาหารสด อาหารแห้ง มากมายจนตาลาย แต่แอบได้ช้อนสไตล์เกาหลีกลับบ้านด้วยค่ะ(ความชอบส่วนตัว)
- ขอไปเดินต่อที่เมียงดงอีกนิด เพื่อหาซื้อของกิน ของฝาก(จากเกาหลี) ก่อนกลับไปเช็คเอ้าท์ที่โรงแรม (12.00 น.)
- 13.00 น. รอรถบัสสายเดิม 6015 ซึ่งอยู่คนละป้ายกับวันแรกที่ลง แต่อยู่ฝั่งเดียวกัน ไม่ต้องข้ามถนนให้ยุ่งยาก ลากกระเป๋าไปตามแผนที่ (ขอจากเคาน์เตอร์ของโรงแรม) เดินไม่ไกลมากนัก ถัดจากสถานีรถไฟใต้ดิน Hoehyeon ไปทางบริเวณทางเข้าตลาดนัมแดมุน Gate 6 และเดินอีกไม่กี่ก้าวก็มองให้ป้ายรถบัส ที่มีสัญญลักษณ์รูปเครื่องบินอยู่ด้วย
- ยืนรอรถบัส (มีเวลาบอกที่ป้าย) รถจะจอด และคนขับจะลงมายกกระเป๋าใส่ท้องรถให้ เราเพียงแค่เตรียมบัตรแตะให้พร้อมและใช้แตะก่อนไปนั่งก็เท่านั้น (ค่ารถบัส ถ้าเราใช้ T-Money จะเสียแค่ 14,000 วอน/เที่ยว)
- เมื่อถึงสนามบินอินชอน ก็รีบเดินหาเคาน์เตอร์เช็คอินเพื่อโหลดกระเป๋า เพราะเราเช็คอินออนไลน์ตั๋วไว้แล้วจากโรงแรม …ไม่มีคิวรอเลยค่ะ
- ขอบอกอีกอย่างว่า ที่สนามบินอินชอน เราต้องโหลดกระเป๋าทีละคน หากน้ำหนักกระเป๋าใบแรกไม่ถึง 20 กก. เขาให้โหลดเพิ่มได้อีก 1 ใบ (รวมกันไม่เกิน 20 กก.) ซึ่งจะไม่ชั่งรวม 5 คน เหมือนขาออกจากไทยค่ะ (ที่เราเจอเป็นแบบนี้)
- 20.45 น. เดินทางถึงประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ …คิดถึงบ้าน
ได้เวลากลับประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเรา ประสบการณ์เที่ยวที่พบเจอ ล้วนให้ข้อคิด ให้ข้อเปรียบเทียบ และอยู่ในความทรงจำ(หลายมิติ )
คิดจะพัก… การท่องเที่ยว คือความสุขอย่างหนึ่ง จะไปเที่ยวที่ไหน เมื่อไร เราคือผู้กำหนด แต่ถ้าอยากจะไปหาประสบการณ์ใหม่ๆ เพื่อเรียนรู้วัฒนธรรมความเป็นอยู่ผู้คน และสถานที่ ตลอดจนสิ่งใหม่ๆ เราอาจจะเริ่มต้นได้จากประเทศใกล้ๆ หรือไกลออกไปจากบ้านเรา ซึ่งล้วนน่าสนใจ …ออกไปเถอะคะ ไปไม่ยาก แม้นการสื่อสาร ภาษาไม่แข็งแรง พูดงูๆ ปลาๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ใช้ภาษามือ ถ้าจำเป็น แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับการออกไปค้นหาสิ่งดี สิ่งใหม่ ให้กับชีวิต …เชื่อเถอะ
ข้อมูลเพิ่มเติมพอสังเขป
เอกสารที่ต้องกรอก (หาข้อมูลจากเว็บไซต์ หรือถ้าไปแอร์เอเชีย ในหนังสือคู่มือบนเครื่องมีตัวอย่างให้กรอก)
- ใบ ตม. กรอกทุกคน ทั้งเข้าประเทศญี่ปุ่น และเกาหลี
- ใบศุลกากร เราไปเป็นครอบครัว(เดียวกัน)รวม 5 คน กรอกใบเดียว และใส่จำนวนผู้ติดตาม 4 คน (ทั้งเข้าญี่ปุ่น และเกาหลี)
**สำหรับเอกสาร เข้า-ออก ประเทศไทย ไม่ต้องกรอกใดๆ เนื่องจากได้รับการยกเว้น(เฉพาะคนไทย)
ค่าใช้จ่าย(ต่อคน)มีอะไรบ้าง
เราขอสรุปตัวเลขกลมๆ(โดยประมาณ 58,000-60,000 บาท) สำหรับทริปนี้ (10 วัน 9 คืน)
- ค่าตั๋วเครื่องบิน (ไป-กลับ) 23,000 บาท (ไทย-ญี่ปุ่น-เกาหลี)
- ค่าที่พัก/ห้อง 25,000 บาท (คืนละ 2,500 – 3,000 บาท)
- ค่ารถไฟ รถบัส ค่าอาหารในญี่ปุ่น และเกาหลี 10,000 บาท (เฉลี่ยวันละ 1,000 บาท) …มีเหลือให้ซื้อของที่อยากได้ด้วยค่ะ เพราะเรากินอาหารที่ไม่แพงมาก
- ค่าซื้อสินค้า(ของเรา ของฝาก) กลับไทยบ้างเล็กน้อย (เพิ่มเติมจากข้อ 3.) แต่บอกเลยว่า ไม่เกิน 20,000 บาทแน่นอน เพราะถ้ามากกว่านี้ จะเกินเงื่อนไขของศุลกากร และจะนำมาซึ่งความลำบากและล่าช้า ฉะนั้น อย่างเสี่ยงดีกว่า !
** เทคนิคอย่างหนึ่งที่ทำให้เราประหยัดเงินค่าตั๋วและที่พัก คือ เราจะสมัครเป็นสมาชิกของสายการบิน (การบินไทย แอร์เอเชีย) เอเจนซี่ (อโกด้า เอ็กพีเดีย) เพื่อรับข่าวสาร โปรโมชั่น สะสมคะแนน(เป็นส่วนลด) …ถูกกว่าค้นหาแล้วจองหน้าเว็ป (เคยทดลองมาแล้ว)
วิธีการเดินทาง
ญี่ปุ่น :
- โอซาก้า – โกเบ … เดินทางโดยรถไฟ เราใช้บัตร SUICA ซื้อไว้นานแล้ว กลับไปญี่ปุ่น หาตู้เติมเงิน แล้วใช้โดยสารรถไฟได้ตามปกติ ไม่ได้ซื้อพาสใดๆ เพราะเราไม่ได้เดินทางไกล การซื้อพาส จึงไม่คุ้ม (พาสจะคุ้มเมื่อเดินทางไกล และหลายสถานที่) …เที่ยวโดยรถไฟ
- เกียวโต เราซื้อตั๋วรถบัส(ราคา 600 เยน)แบบวันเดียว(นั่งบัสไม่จำกัดเที่ยวและเส้นทาง) เพราะค่ารถต่อเที่ยวค่อนข้างแพง (230 เยน/เที่ยว) …ใช้บริการรถบัส
เกาหลี :

- ใช้บัตร T-Money (ซื้อที่ร้านสะดวกซื้อในสนามบิน) สำหรับการเดินทางในโซล ทั้งรถไฟ และรถบัส (เติมเงินวันละ 10,000 วอน) วันสุดท้ายเช็คยอดเงินในบัตรเหลือไว้เพียง 15,000 วอน สำหรับค่ารถบัสขากลับสนามบิน แต่จริงๆ จ่ายเพียง 14,000 บาท (ใช้บัตรมีส่วนลด) …เที่ยวโดยรถบัส(สะดวก)มากกว่ารถไฟ