ตะลุยเที่ยววังเวียงครั้งแรก กับทริปปลายฝนต้นหนาว 4 วัน 3 คืน | คิดจะพักรีวิว

 คิดจะพัก- ช่วงนี้ใกล้สิ้นปีแล้ว หากใครที่กำลังมองหาสถานที่เที่ยวแนวผจญภัย ไม่ใกล้ไม่ไกลจากไทยมากนัก อีกหนึ่งสถานที่ ที่นักท่องเที่ยวนานาชาตินิยมไปคือ วังเวียง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่ขึ้นชื่อของประเทศลาว ซึ่งเป็นชุมชนที่ห่างออกไปจากเมืองหลวงของลาว ที่มีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ทั้งแหล่งน้ำและป่าไม้ ซึ่งในตอนต้นนั้น เราตั้งใจจะให้เป็นทริป 3 วัน 2 คืน โดยเดินทางจาก จ.หนองคาย ตรงไปยังวังเวียงเลย แต่หลังจากที่ไปจองตั๋วรถไปวังเวียง ปรากฏว่าที่นั่งเต็ม จึงทำให้ต้องเปลี่ยนแผนการเดินทางเร็วขึ้น 1 วัน

เริ่มต้นการเดินทาง…. ซื้อตั๋วรถบัสระหว่างประเทศที่ บ.ข.ส. หนองคาย รถออกเวลา 18.00 น. ค่าเดินทางจาก หนองคายไปเวียงจันทน์ ประมาณ 60 บาท ใช้เวลา 2 ชั่วโมง หลังจากที่ขึ้นรถแล้ว ระหว่างเดินทาง พนักงานที่ดูแลบนรถบัส จะให้แบบฟอร์มสำหรับกรอกข้อมูลเบื้องต้นของผู้เดินทาง เพื่อขอเข้าประเทศลาว ใช้ยื่นที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง …ไม่นานนัก รถก็จอดที่สะพานมิตรภาพไทย-ลาว เพื่อให้ผู้โดยสารลงไปที่ด่าน เพื่อตรวจสอบหนังสือเดินทางก่อนออกนอกประเทศไทย

หลังจากตรวจสอบหนังสือเดินทางเรียบร้อยแล้ว รถบัสก็พาเราไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองของประเทศลาว เราก็ยื่นแบบฟอร์มที่พนักงานแจกให้บนรถพร้อมหนังสือเดินทางให้แก่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของลาว และที่ด่านแห่งนี้มีจุดรับแลกเงินไทยเป็นเงินกีบอยู่ด้วย ขอแนะนำว่าให้แลกเงินจากที่นี่จะดีที่สุด เพราะได้อัตราแลกเปลี่ยนที่สูงกว่าการแลกในประเทศลาว (1 บาท  : 267 กีบ ณ วันที่ 12 ตุลาคม 2561)

 

หลังจากแลกเงินเสร็จแล้ว เราจะต้องไปซื้อบัตรผ่านแดน ราคา 55 บาท เพื่อใช้สแกนบัตรผ่านเข้าประเทศลาว เราเดินทางมาถึงเวียงจันทน์ประมาณ 2 ทุ่ม คนขับรถส่งให้ลงที่ บ.ข.ส.ตลาดเช้าเวียงจันทน์ ซึ่งที่นี้จะมีรถรับจ้างแห่มาหาเรา เสมือนเราเป็นดาราดัง ถามว่าเราจะไปไหน พร้อมจะไปส่งเราทุกที่ ถ้านักท่องเที่ยวมีสัมภาระเยอะ แนะนำว่า การเลือกใช้บริการ ก็เป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่ง แต่เนื่องจากทริปนี้ เป็นการเที่ยวประเทศลาวครั้งแรก เรายังไม่รู้จักสถานที่ในประเทศลาวมากนัก จึงเลือกที่จะเดินชมเมือง และถามทางจากผู้คนที่ผ่านไปมาในละแวกนั้น ท้ายที่สุด ก็ได้ที่พักในบริเวณที่ชาวลาวเรียกว่า ‘ลานน้ำพุ’

 

ราคาที่พัก ส่วนใหญ่ถ้าเป็น guest house  ราคาประมาณ 500-1,000 บาท guest house บางแห่งในประเทศลาว จะแบ่งห้องพักชัดเจน มีห้องน้ำในตัวเหมือนหอพักในประเทศไทย โดยไม่ต้องใช้ห้องน้ำร่วมกับห้องอื่น ส่วนโรงแรมจะมีราคาตั้งแต่ 600-3,000 บาท ที่พักของเราที่เวียงจันทน์ในคืนนี้ คือ PHONE PASEUTH GUEST HOUSE

 

ราคาห้องพักที่เราเลือกห้องละ 550 บาท เหตุผลที่เลือกที่พักนี้ เพราะใกล้ บ.ข.ส.ตลาดเช้า ที่เราจะใช้เดินทางไปยังวังเวียงในวันรุ่งขึ้น อีกทั้งใกล้ตลาดแคมของ ซึ่งเป็นตลาดริมโขง พ่อค้าแม่ค้าจะมาตั้งร้านตลาดนัด ขายอาหารทั่วไป อาทิ ส้มตำ ไก่ย่าง ผัดหมี่  นอกจากนี้ยังมีร้านปาลูกโป่ง ร้านขายเสื้อผ้าแฟชั่นราคาถูกมากๆ

 

หลังจากที่ไปเดินเล่นที่ตลาดแคมของจนดึกแล้ว เราเดินเท้ากลับมาที่พักและสอบถามพนักงานต้อนรับของที่พัก เกี่ยวกับการเดินทางไปวังเวียง จึงได้รับคำแนะนำว่า ทางที่พักมีบริการจองรถไปยังวังเวียง โดยจะมารับถึงหน้าที่พัก ค่าใช้จ่ายคนละ 280 บาท เวลาออกเดินทาง มีหลายเวลาให้เราเลือกตั้งแต่ 09.00 เป็นต้นไป

 

ในตอนเช้า ก่อนที่จะเดินทางไปยังวังเวียง เรายังพอมีเวลาเดินชมวิถีชีวิตของชาวเวียงจันทน์ และหาอะไรกินรองท้องระหว่างรอรถ แล้วมาจบที่ขนมปังเวียดนามชิ้นโต

 

 

ได้เวลาเดินทางกันแล้ว รถที่เราจองไว้ก็แวะมารับหน้าที่พัก เพื่อเดินทางสู่วังเวียง คนขับให้ข้อมูลเราว่าใช้เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมง เนื่องจากถนนค่อนข้างเป็นอุปสรรคในการเดินทาง อีกทั้งยังเป็นเส้นทางขึ้นเขา จึงต้องใช้ความระมัดระวังและใช้เวลาค่อนข้างนาน ในระหว่างทาง ได้มีการจอดพักรถและแวะกินข้าวที่ร้านอาหารเล็กๆ ข้างทาง จากนั้นก็ออกเดินทางต่อ ถึงวังเวียงในเวลาประมาณ 13.00 น. บรรยากาศที่เราเจอเมื่อลงจากรถคือ แดดร้อนมาก

 

 

 

จากนั้น เราก็เริ่มตระเวนหาที่พัก โดยเป้าหมายหลักคือ อยู่ใกล้แม่น้ำซอง เพราะอยากชมบรรยากาศริมน้ำในตอนเช้า หลังเดินหาที่พักอยู่สักครู่ เราก็มาได้ที่พักชื่อ Grand View Guesthouse ราคา 1,000 บาท ต่อคืน เป็นห้องขนาดใหญ่ พักได้ถึง 4 คน

 

หลังจากเก็บสัมภาระเข้าที่พัก และพักผ่อนจนถึงบ่ายแก่ๆ จึงออกไปเดินเล่นในตัววังเวียง ที่นี่เป็นชุมชนขนาดเล็กที่ไม่วุ่นวาย นักท่องเที่ยวที่เห็นส่วนใหญ่เป็นชาวจีนและยุโรป ร้านอาหารเล็กๆ ที่นี่ส่วนใหญ่เปิดขายขนมปังเวียดนามที่ทำสดใหม่ มีโรตี มีร้านเช่าจักรยานและมอเตอร์ไซค์ รวมถึงมินิมาร์ทตามมุมถนน หลังจากที่เราเดินเตร็ดเตร่อยู่นาน ก็แวะทานข้าว จากนั้นก็ไปเดินเล่นที่ถนนคนเดิน

 

บรรยากาศถนนคนเดินก็ไม่แตกต่างจากที่ไทยมากนัก ขายเสื้อผ้า ของกินเล่น หมูกระทะ จิ้มจุ่ม และขนมครก และระหว่างทางกลับที่พักยังมีร้านนม ตกแต่งร้านน่ารัก มีน้ำผลไม้ปั่นและของหวาน ชวนให้น้ำลายสอ ต้องขอชิมน้ำผลไม้ปั่น (ราคา 20,000 กีบ)

 

ในเช้าวันต่อมา เราเลือกที่จะตื่นเช้า เพื่อไปถ่ายภาพบรรยากาศ และวิถีชีวิตในชุมชนของที่นี่

ชาวบ้านนิยมเอาวัตถุดิบประกอบอาหารวางขายริมทาง ไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์

ร้านค้าหลายร้านเปิดให้เช่ารถจักรยานและมอเตอร์ไซค์ ราคาจะแตกต่างกันไปตามประเภทของรถ หากเป็นรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ราคาจะอยู่ที่ 120,000 กีบ หรือ 480 บาทต่อวัน ส่วนเกียร์ธรรมดา ราคา 70,000 กีบ หรือ 280 บาทต่อวัน โดยทางร้านจะแจกแผนที่สถานที่ท่องเที่ยวในวังเวียงให้ด้วย สถานที่แรกที่เราไปคือ ‘ถ้ำน้ำ’ ซึ่งอยู่ห่างจากตัววังเวียงประมาณ 15 กิโลเมตร แต่กว่าจะไปถึงที่นั่นได้ มีความยากลำบาก ทั้งหลุมลึกเท่าแข้ง ฝ่าฝูงวัวควายที่เดินเฉิดฉายกันข้างถนน และก่อนที่จะไปถึงถ้ำน้ำ ก็เสียค่าธรรมเนียม คนละ 10,000 กีบ หรือ 40 บาท สำหรับข้ามสะพานไปยังถ้ำน้ำ

หลังจากข้ามสะพานมาแล้ว จะมี 2 สถานที่หลักคือ วัดถ้ำช้างและถ้ำน้ำ เราตกลงกันว่า จะไม่เข้าวัดถ้ำช้าง และเดินไปต่อ เพื่อไปเล่น Zipline

 

Zipline เป็นการโหนสลิงจากบ้านต้นไม้แห่งหนึ่งไปยังอีกแห่ง

นับว่าเป็นกิจกรรมที่หวาดเสียวและสนุกสนานไปพร้อมๆ กัน นอกจากส่วนของ Zipline แล้ว ยังมีกิจกรรมนั่งห่วงยางชมภายในถ้ำ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว

หลังจากท่องเที่ยวที่ถ้ำน้ำเสร็จแล้ว เป็นเวลาประมาณเที่ยง เราก็แวะกินข้าวกัน ก่อนที่จะแวะไปเก็บภาพบรรยากาศสะพานส้ม จุดเช็คอินของวังเวียง มีค่าธรรมเนียมคนละ 7,000 กีบ

 

และจุดสุดท้าย อันเป็นแลนมาร์คของวังเวียง ที่เรียกได้ว่า ถ้าไม่มาที่นี่ ถือว่ามาไม่ถึงวังเวียง นั่นก็คือ บลูลากูน (Blue Lagoon) สระน้ำธรรมชาติ บรรยากาศร่มรื่น

แอ่งน้ำใสสีฟ้า น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา

ที่นี่มีบริการให้เช่าห่วงยาง เสื้อชูชีพ โหนสลิง มีอาหารและเครื่องดื่มขายให้นักท่องเที่ยวไปนั่งกินซุ้มต่างๆ หลังจากทรหดอดทนกับการเดินทางมาทั้งวัน จึงขอลงเล่นน้ำให้ชื่นใจกันหน่อย นักท่องเที่ยวหลายคนนิยมไปกระโดดน้ำจากต้นไม้สูงที่เอนตัวไปกลางแหล่งน้ำ

หากผู้ที่ว่ายน้ำไม่เป็นหรือไม่ชำนาญ แนะนำให้สวมเสื้อชูชีพเพื่อความปลอดภัย น้ำที่นี่เย็นมาก เนื่องจากเป็นน้ำที่ไหลมาจากบนภูเขา ให้ความรู้สึกสดชื่น คลายร้อน หลังจากเล่นน้ำมาพักใหญ่ ก็เตรียมตัวขับมอเตอร์ไซต์กลับที่พัก ผ่านทุ่งนาที่เขียวขจี รายล้อมด้วยภูเขาลูกยักษ์ ที่อยู่ไม่ไกลนัก

ระหว่างทางกลับ เราผ่าน เวียงทารา (Vieng Tara Villa) ที่พักท่ามกลางทุ่งนาเขียวขจี ฉากหลังเป็นทิวเขาและหมอก ให้ความสดชื่นมาก ๆ

ในวันเดินทางกลับ เราจองตั๋วผ่านบริษัททัวร์ในตัววังเวียง โดยเลือกเดินทางตรงจากวังเวียงสู่หนองคาย ราคาคนละ 90,000 กีบ หรือประมาณ 360 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง โดยรถจะไปจอดที่เวียงจันทน์เพื่อให้ผู้โดยสารขึ้นรถอีกคัน เป็นรถบัสที่สามารถขับเข้าประเทศไทยได้ โดยทางบริษัทจะติดต่อเรื่องตั๋วรถให้ผู้โดยสารเรียบร้อยหมดแล้ว

สุดท้ายนี้ แม้ว่าการใช้จ่ายในลาวสามารถใช้เป็นเงินบาทได้ แต่แนะนำว่า ให้ใช้จ่ายด้วยเงินกีบจะดีกว่า ซึ่งเราหวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับท่านที่กำลังหาสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศลาว ลองดูค่ะ ไปไม่ยาก ค่าใช้จ่ายไม่มาก … เชื่อเถอะ

 

คำแนะนำเพิ่มเติม

  • ในด้านการเดินทาง อาจไม่สะดวกสบายนัก
  • กรณีที่เช่ามอเตอร์ไซค์ขับเอง ควรพกหน้ากากอนามัยติดตัวไปด้วย เนื่องจากฝุ่นค่อนข้างเยอะ
  • ซิมโทรศัพท์มือถือของลาวสำหรับเล่นอินเตอร์เน็ต สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายของทั่วไป
  • สินค้าบางชนิดในประเทศลาว มีราคาสูงกว่าในประเทศไทย ถึงแม้ว่าเป็นสินค้าชนิดเดียวกัน อาทิ บุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • กรณีจองตั๋วรถกลับและนัดตกลงให้รถมารับที่พัก ควรขอเบอร์ติดต่อผู้รับจองตั๋วหรือคนขายตั๋วของบริษัทรถโดยตรง ที่สามารถติดต่อได้ตลอดเวลา กรณีเหตุฉุกเฉิน ป้องกันการตกรถ

ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ : 3,500 บาทต่อคน

โปรแกรมเมอร์สาว ที่ รักสุขภาพ และออกกำลังกาย เรียกตัวเอง" โปเกม่อน"