คิดจะพัก-สถาบันมะเร็งแห่งชาติเตือนผู้ชายวัย 15 – 35 ปี กลุ่มเสี่ยง โรคมะเร็งอัณฑะ แนะตรวจลูกอัณฑะด้วยตัวเองเป็นประจำ หลังอาบน้ำ หากพบความผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์
นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์และโฆษกกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคมะเร็งอัณฑะเป็นโรคมะเร็งที่พบได้น้อย และไม่ติด 1 ใน 10 ของมะเร็งที่พบบ่อยในชายไทย แต่ละปีมีผู้ป่วยราว0.7 รายต่อชายไทย 100,000 คน หรือคิดเป็น 0.4 % ของมะเร็งทั้งหมดในเพศชาย โรคมะเร็งอัณฑะมักพบในช่วงอายุ 15 – 35 ปี แต่ก็มีโอกาสพบได้ในทุกอายุทั้งในเด็กจนถึงผู้สูงอายุเช่นกัน ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนของการเกิดโรค แต่สันนิษฐานว่าเป็นผลมาจากปัจจัยทางพันธุกรรมโดยเฉพาะประวัติการมีคนในครอบครัว เช่น พ่อ หรือพี่ชายเป็นโรคมะเร็งอัณฑะมาก่อน นอกจากนี้ผู้ที่มีอัณฑะค้างอยู่ในอุ้งเชิงกรานไม่เคลื่อนลงมาอยู่ในถุงอัณฑะจะมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้ชายปกติอีกด้วย
นายแพทย์วีรวุฒิ อิ่มสำราญ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า อาการของโรคมะเร็งอัณฑะที่พบบ่อย คือ คลำลูกอัณฑะเจอเป็นก้อนแข็งและไม่เจ็บ ซึ่งแตกต่างจากภาวะลูกอัณฑะอักเสบเฉียบพลันที่พบว่า มีอาการลูกอัณฑะบวมและมีอาการเจ็บร่วมด้วย บางครั้งอาจมีอาการหน่วงๆ ที่ลูกอัณฑะหรือมีน้ำในถุงอัณฑะเกิดขึ้นเฉียบพลัน ดังนั้นการตรวจลูกอัณฑะด้วยตัวเองเป็นประจำ โดยแนะนำให้ตรวจหลังอาบน้ำ ให้ตรวจลูกอัณฑะไล่ไปทีละข้าง โดยใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ค่อยๆ คลำเลื่อนไปเรื่อยๆ คลำดูว่ามีก้อนหรือมีอาการเจ็บร่วมด้วยหรือไม่ บริเวณด้านหลังของลูกอัณฑะจะคลำได้ส่วนหยุ่นๆ ขนาดเล็กซึ่งถือว่าเป็นปกติ ถ้าคลำได้ก้อนหรือไม่แน่ใจส่วนใดผิดปกติหรือไม่ ควรรีบปรึกษาแพทย์ ความผิดปกตินั้นอาจเป็นถุงน้ำหรือเส้นเลือดขอดบริเวณลูกอัณฑะซึ่งพบได้บ่อยกว่าเนื้องอกหรือมะเร็งอัณฑะ
ในกรณีที่เป็นมากมักมีการกระจายไปที่ต่อมน้ำเหลืองในอุ้งเชิงกรานหรืออวัยวะในช่องท้องหรือปอด การรักษาต้องตัดลูกอัณฑะทิ้งและเลาะตัดต่อมน้ำเหลืองออกร่วมด้วย ถ้าเป็นมากกว่านั้นอาจให้ยาเคมีบำบัดหรือการฉายรังสีร่วมด้วย ควรมีการตรวจลูกอัณฑะอย่างสม่ำเสมอ เพราะหากเจอความผิดปกติของลูกอัณฑะจะได้วินิจฉัยโรคและให้การรักษาได้อย่างทันท่วงที